Cook With Heart, Feed With Love™

Superfood อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่ควรมองข้าม

Superfood อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยง คือ? 

ในปี 2014 คำว่า Superfood (ซุปเปอร์ฟู๊ด) ถูกเพิ่มเข้าไปในพจนานุกรมอย่าง Merriam- Webster ซึ่งแปลคร่าวๆได้ว่า “วัตถุดิบ (เช่น ปลาแซลมอน บลูเบอร์รี หรือ บร็อคโคลี) ที่ประกอบไปด้วยสารอาหารตามธรรมชาติ (เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟเบอร์ หรือ กรดไขมัน) ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย”

Superfood มีอะไรบ้าง และ มีประโยชน์อย่างไร

ปลาแซลมอน ซุปเปอร์ฟู๊ด อาหารสุขภาพสำหรับหมาและแมว

เนื้อปลา ชนิดต่างๆ เช่น ปลาแซลมอน ปลาเนื้อขาว ปลาแฮร์ริง ปลาซาร์ดีน ปลาเทราต์

  • ประกอบไปด้วย โปรตีนคุณภาพ กรดโอเมก้า 3 ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการอักเสบ และ ช่วยบำรุงผิวหนังและขนให้เงางาม

เนื้อไก่

  • โปรตีนคุณภาพ แคลอรีต่ำ ประกอบไปด้วย วิตามิน บี และ วิตามิน ดี แร่ธาตุ (ซีลีเนียม ธาตุเหล็ก และ ฟอสฟอรัสช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง) ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้ตัวแน่น แข็งแรง บำรุงหัวใจ ต่อมไทรอย บำรุงสายตา และ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

ถั่วลันเตา

  • ประกอบไปด้วย วิตามินเอ วิตามินเค และ วิตามินบี คาร์โบไฮเดรต และ ไฟเบอร์ มี Lutein ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ดีต่อผิวหนัง หัวใจ และ สายตา มี Linoleic acid ช่วยบำรุงผิวหนังและขน

ผลบลูเบอร์รี ซุปเปอร์ฟู๊ด

ผลบลูเบอร์รี

  • ผลไม้แคลอรีต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านมะเร็ง ชะลอความเสื่อมวัยของเซลล์ต่างๆในร่างกาย ประกอบไปด้วย วิตามิน ซี และ วิตามินเค ไฟเบอร์ และ แอนไทไซยานิน เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและ การทำงานของระบบประสาทและสมอง 

ซุปเปอร์ฟู๊ด ผักโขม แครนเบอร์รี เมล็ดแฟลกซ์

บร็อคโคลี

  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านมะเร็ง วิตามิน เค แคลเซียม และ โพแทสเซียม ช่วยเพิ่มมวลกระดูก ไฟเบอร์ ช่วยเพิ่มกากใยอาหารที่ดีต่อระบบขับถ่าย 

ผลแครนเบอร์รี

  • ผลไม้แคลอรีต่ำ ประกอบไปด้วย วิตามิน ซี โพแทสเซียม และ ไฟเบอร์ ดีต่อระบบกระเพาะปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว ลดความเสี่ยงการเกิดปัญหาทางเดินอาหาร และ ช่วยลดอาการอักเสบ (anti-inflammatory)

ผักโขม

  • มีวิตามิน แร่ธาตุ โอเมก้า 3 และ ไฟเบอร์ ดีต่อระบบขับถ่าย มีไนเตรท กระตุ้นการหมุนเวียนของเลือด และ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ มีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง ชะลอวัยและการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย ช่วยลดความเครียด และมี Letein ช่วยบำรุงสายตา

เมล็ดแฟลกซ์

  • มี ไฟเบอร์ โอเมก้า 3 วิตามิน บี และ สารต้านอนุมูลอิสระ จาก ลิกแนน (Lignans) สารอาหารเหล่านี้ช่วย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สัตว์เลี้ยง ดีต่อหัวใจ หลอดเลือด และ ตับ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง อาการข้ออักเสบ และ ช่วยบำรุงขน 

แครอท 

  • มีวิตมิน เค และ อี แร่ธาตุ ไฟเบอร์ และ เบต้าแคโรทีน ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ต่างๆ และ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

แอปเปิ้ล

  • ประกอบไปด้วย วิตามิน เอ และ ซี ไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำดีต่อระบบขับถ่าย และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 
  • ไม่ควรให้สัตว์เลี้ยงกินส่วนเมล็ด หรือ แกนกลาง เพราะในเมล็ดแอปเปิ้ล มีสารไซยาไนด์เหมือนในเมล็ดองุ่นและลูกพลัมที่เป็นพิษต่อสุนัขและแมว

ไข่ไก่

  • โอเมก้า 3 และ DHA ดีต่อสายตา และ ระบบประสาทและสมอง ช่วยลดความเสี่ยงอาการข้ออักเสบในสัตว์เลี้ยงสูงวัย โปรตีนคุณภาพช่วยบำรุงผิวหนังและขนให้ชุ่มชื้น ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเนื้อเยื่อและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ มีวิตามิน เอ และ บี 12 เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

นี่เป็นเพียงแค่วัตถุดิบบางส่วนที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็น Superfood อาหารที่ดีต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง และมีประโยชน์มากมาย
หากผู้เลี้ยงต้องการผสมหรือให้วัตถุดิบเหล่านี้เป็น ของทานเล่น หรือ นำไปผสมกับอาหารมื้อหลัก แนะนำให้หาข้อมูลให้ครบถ้วนและจัดเตรียมวัตถุดิบแต่ละชนิดด้วยการผ่านกรรมวิธีที่ถูกต้อง จึงจะปลอดภัยและส่งผลดีต่อสัตว์เลี้ยง
ที่สำคัญ “ควรให้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป” และอย่าลืมว่าแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ (Carnivores) และสุนัขเป็นสัตว์กินเนื้อและพืช (Omnivores) แต่โดยกำเนิด  ดังนั้นในอาหารส่วนประกอบควรมีโปรตีนเป็นหลักอยู่ในทุกๆมื้อ

ตัวเลือกที่สะดวกยิ่งกว่า เมื่อ Superfood อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยงถูกอัดแน่นอยู่ใน “อาหารเม็ด”

หากใครไม่มีเวลาเตรียมหาซื้อวัตถุดิบ Superfood เหล่านี้ Buzz มีตัวเลือกที่สะดวกและประหยัดเวลามากกว่า

ทุกสูตรผ่านการคิดค้นสูตรโดยนักโภชนาการ ผลิตและนำเข้าจากประเทศเบลเยียมโดยโรงงานที่ผ่านตามมาตรฐาน AAFCO สมาคมควบคุมอาหารสัตว์แห่งสหรัฐอเมริกา ประกอบไปด้วยวัตถุดิบ Superfood อาหารสุขภาพสำหรับสุนัขและแมว ที่มีคุณภาพและประโยชน์คับถุง มีโภชนาการที่เหมาะสมต่อสัตว์เลี้ยงในแต่ละวัน 

 

 

โรคข้อสะโพกเสื่อม ปัญหายอดฮิตของเจ้าตูบตัวยักษ์

โรคข้อสะโพกเสื่อม สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อการเคลื่อนไหวของเจ้าตูบตัวยักษ์ เพื่อให้เจ้าตูบวิ่งเล่นสนุกไปกับคุณได้อีกนาน เราจึงต้องหาทางป้องกันก่อนเกิดปัญหานี้

โรคข้อสะโพกเสื่อม ( Hip Dysplasia ) เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นกับสุนัขสายพันธ์ุใหญ่ โดยเกิดจากโครงสร้างข้อสะโพกมีรูปร่างและการเคลื่อนที่ผิดปกติ ทำให้กระดูกต้นขาไม่สามารถสวมเข้ากับเบ้าสะโพกได้พอดี จึงนำไปสู่การอักเสบของกระดูกและข้อ ซึ่งกระทบโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของสุนัข ด้วยอาการเจ็บและปวดบริเวณข้อสะโพก ส่งผลให้ลุก นั่ง ก้าวขึ้นที่สูงลำบาก เดินกะเผลก ลักษณะการยืนก็จะผิดปกติ โดยขาหลังจะชิดกัน แต่ปลายขา และเท้าชี้ออกด้านข้าง จนสุนัขไม่อยากทำกิจกรรม เดิน และยืน เมื่อขาไม่ได้ถูกใช้งานนาน กล้ามเนื้อจะลีบ ทำให้เกิดอาการสองขาหลังอ่อนแรงได้

โรคข้อสะโพกเสื่อม

โรคข้อสะโพกเสื่อมเกิดขึ้นจากอะไร ?

สาเหตุของโรคข้อสะโพกเสื่อม มักถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม พบมากในสุนัขพันธ์ุใหญ่บางสายพันธ์ุ เช่น โกลเด้น รีทรีฟเวอร์, ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์, ร็อตไวเลอร์, เยอรมัน เชพเพิร์ด, เซนต์เบอน์นาร์ด, ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ อีก คือ

  • สุนัขอายุมาก กระดูกเสื่อม และการดูดซึมแคลเซียมน้อยลง
  • สุนัขน้ำหนักเกิน เป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดโรคข้อกระดูกเสื่อม
  • เลี้ยงสุนัขบนพื้นลื่น ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ข้อสะโพกได้ง่าย
  • เลี้ยงสุนัขในพื้นที่จำกัดมาก ทำให้ไม่ได้ออกกำลังกาย เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อลีบ และขาหลังอ่อนแรงได้

เมื่อเริ่มสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หรืออาการเจ็บปวดที่สุนัขแสดงออก ควรรีบพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์โดยเร็ว เพื่อทำการวินิจฉัยอาการของโรค จะได้รักษาได้ทันเวลา โดยในปัจจุบันโรคข้อกระดูกเสื่อมสามารถรักษาได้หลายวิธี ดังนี้

การรักษาโรคข้อกระดูกเสื่อม

  • การรักษาโรคข้อกระดูกเสื่อมด้วยยา เพื่อบรรเทาอาการปวด และให้อาหารเสริมจำพวกกลูโคซาไมด์ และคอนดรอยติน เพื่อเสริมสร้างกระดูกอ่อน และน้ำไขข้อ
  • การผ่าตัด ในกรณีที่มีการบาดเจ็บและอักเสบของข้อสะโพกรุนแรง
  • การกายภาพบำบัด เพื่อลดอาการปวด ฟื้นฟูเนื้อเยื่อบริเวณข้อ และช่วยให้สุนัขกลับมาเดินได้ใกล้เคียงปกติ

 

หากโรคข้อกระดูกเสื่อมยังไม่เกิดกับเจ้าตูบตัวยักษ์ของคุณก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าชะล่าใจไป เราควรหาทางป้องกันก่อนเกิดโรคไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการพาเจ้าตูบตัวยักษ์ไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนักเจ้าตูบให้อยู่ที่เกณฑ์ที่เหมาะสม โดยเลือกอาหารสุนัขที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงอย่าง Healthy life Limited Ingredients สูตรเนื้อแกะแท้ บำรุงข้อกระดูก ที่มีกลูโคซามีน และคอนดรอยติน ช่วยบำรุงข้อต่อและกระดูก ป้องกันความผิดปกติของกระดูก และชะลอการเสียดสีของกระดูกอ่อนในข้อต่อ จึงเหมาะกับสุนัขพันธ์ุใหญ่เป็นอย่างมาก เพื่อให้เจ้าตูบได้วิ่งเล่นกับคุณไปนาน ๆ 

 

เทคนิค อาบน้ำแมว เพื่อขนสวยสุขภาพดี

อาบน้ำแมว อาจเป็นเรื่องปวดหัวของทาสแมวบางคนที่มีแมวไม่ชอบอาบน้ำ แต่ถ้าคุณได้รู้เทคนิคเหล่านี้ เชื่อได้ว่าการอาบน้ำแมวจะกลายเป็นเรื่องง่ายไปทันที

อาบน้ำแมวจำเป็นอย่างไร ?

การอาบน้ำแมวถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ทาสควรทำให้แมว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแมวขนยาว แม้เจ้าเหมียวจะเป็นสัตว์รักสะอาดที่มักจะเลียทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ แต่มันก็เทียบเท่าการอาบน้ำไม่ได้ เพราะการอาบน้ำจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหนังและขนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยป้องกันปรสิตอย่างเห็บ และหมัดได้อีกด้วย การอาบน้ำแมวจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลขนและผิวหนังให้มีสุขภาพดี

แมวอาบน้ำ

อาบน้ำแมวทำได้บ่อยแค่ไหน ?

แม้จะเป็นวิธีดูแลความสะอาดที่สำคัญ แต่การอาบน้ำแมวก็ไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้ขนของเจ้าเหมียวอ่อนแอลงได้ เนื่องจากสูญเสียน้ำมันเคลือบขน และอาจเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้แมวป่วยได้ด้วย ดังนั้น ทาสจึงควรอาบน้ำแมว 1 ครั้ง / 1 – 3 เดือน เท่านั้น

 

เทคนิคการอาบน้ำแมว

แต่ปัญหาใหญ่ของการอาบน้ำแมวที่ทาสหลายคนต้องประสบ คือ เจ้าเหมียวไม่ชอบอาบน้ำ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เพราะโดยพื้นฐานแมวเป็นสัตว์ที่กลัวน้ำอยู่แล้ว การที่จะทำให้แมวยอมอาบน้ำได้ง่าย ๆ จึงต้องฝึกให้แมวคุ้นชินกับน้ำตั้งแต่ยังเด็ก โดยเมื่อแมวอายุได้ 2 เดือน ให้เริ่มจับเท้าของน้องมาจุ่มน้ำอุ่น ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มระดับน้ำจนอาบน้ำได้ ซึ่งในขณะที่อาบน้ำให้น้องทาสจะต้องใจเย็น ไม่ดุ ตี หรือจับหนังคอน้อง เพราะมันอาจทำให้น้องเครียด และฝังใจจนไม่อยากอาบน้ำอีกต่อไป

แต่ถ้าคุณไม่ได้ฝึกน้องมาตั้งแต่ยังเด็ก ก็ต้องเตรียมใจว่าอาจเกิดรอยขีดข่วนบนตัวคุณได้เลย เป็นเหตุให้ทาสหลายคนต้องพึ่งร้านอาบน้ำสัตว์เลี้ยง แต่ถ้าคุณอยากอาบน้ำให้เจ้าเหมียวเอง ก็ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ได้แก่

  • แชมพูสำหรับอาบน้ำแมวโดยเฉพาะ
  • ผ้าเช็ดตัวแมว 
  • แปรงสำหรับแปรงขนแมว
  • ไดร์เป่าผม
  • อ่างอาบน้ำ
  • น้ำอุ่น ๆ 

และทาสจะต้องใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด โดยมีความหนาพอสมควร เพื่อป้องกันเจ้าเหมียวข่วน ถ้าจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราก็มาเริ่มอาบน้ำแมวกันเลย !

  • ตรวจเช็กร่างกายของแมว และสภาพอากาศ หากแมวซึม ไม่ร่าเริง ไม่กินอาหาร หรือขับถ่ายผิดปกติ อีกทั้งหากอากาศเย็น ชื้น หรือมีฝนตก ทาสไม่ควรอาบน้ำให้น้อง
  • แปรงขนให้น้องเหมียวก่อนอาบน้ำ
  • พาน้องลงอ่างน้ำอุ่นช้า ๆ โดยเริ่มจากเอาขาน้องจุ่มน้ำ รอจนน้องนิ่ง แล้วจึงค่อย ๆ ทำให้ตัวน้องเปียกโดยระวังอย่างให้เข้าตา และจมูก ในกรณีที่ใช้ฝักบัวในการอาบ ต้องเปิดน้ำให้เบาที่สุด
  • ผสมแชมพูกับน้ำก่อนลูบไล้ลงบนตัวน้องอย่างเบามือ ถูให้ทั่วทั้งตัว ยกเว้นบริเวณใบหน้า 
  • ล้างแชมพูออกให้หมด ส่วนบริเวณใบหน้าจะทำความสะอาดโดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเบา ๆ 
  • เมื่ออาบน้ำเสร็จ ต้องเช็ดตัวน้องให้แห้ง และเป่าขนด้วยไดร์เป่าผมโดยไม่ใช้ความร้อนให้แห้งสนิท จากนั้นแปรงขนน้องอีกครั้ง เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

อาบน้ำแมว ไม่ใช่เรื่องยาก และถือเป็นวิธีในการดูแลสุขภาพขนและผิวหนังของเจ้าเหมียวที่สำคัญ ส่วนการดูแลจากภายในที่ลืมไม่ได้ ก็คือการเลือกอาหารที่ช่วยบำรุงเส้นขนและผิวหนังโดยตรง อย่าง Buzz Advanced Nutrition สูตรบำรุงเส้นขน เเละ ผิวหนัง อาหารแมวสำหรับแมวทุกสายพันธุ์ ด้วยโภชนาการสารอาหารที่สมดุล พร้อมเพิ่มคอลลาเจน กรดไขมันโอเมก้า 6 และกรดไขมันโอเมก้า 3 เพื่อช่วยบำรุงสุขภาพผิวหนังและขนให้เงางาม เจ้าเหมียวของคุณจึงมีขนสวย นุ่ม น่ากอด

 

ทำอย่างไรเมื่อ สุนัขท้องเสีย

สุนัขท้องเสีย อีกหนึ่งอาการที่พบได้ในสุนัขทุกสายพันธ์ุและทุกช่วงวัย โดยอุจจาระจะมีลักษณะ กลิ่น และสีที่ผิดปกติ นิ่มเป็นน้ำ หรืออาจมีมูกเลือดปนออกมาด้วย และมักมีความถี่ในการถ่ายมากกว่า 3 ครั้ง / วัน

 

สุนัขท้องเสีย เกิดจากอะไร ?

  สุนัขท้องเสียเป็นภาวะผิดปกติที่ลำไส้บีบตัวมากกว่าปกติ ส่งผลให้การดูดซึมอาหารและน้ำลดลง จึงทำให้อุจจาระที่ถ่ายออกมาเหลวเป็นน้ำ โดยทั่วไปอาการท้องเสียสามารถแบ่งได้ 2 แบบ คือ

  • สุนัขท้องเสียแบบเรื้อรัง มักเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหาร เช่น น้ำย่อย ตับ ตับอ่อน เป็นต้น 
  • สุนัขท้องเสียแบบเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นเร็วและกินระยะเวลาไม่นาน มีสาเหตุมาจากอาหารหรือยาที่กินเข้าไป ได้รับสารพิษ และการติดเชื้อ  

โดยสุนัขท้องเสียจากการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อบิด หรือพยาธิ สีของอุจจาระที่ถ่ายออกมาจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ติดเชื้อ หากติดเชื้อที่ลำไส้เล็ก อุจจาระจะมีสีเทา เหลวเป็นน้ำ และอาจมีเลือดปนทำให้อุจจาระมีสีน้ำตาลเข้ม ส่วนในกรณีติดเชื้อที่ลำไส้ใหญ่ อุจจาระมักมีมูกปน มันวาว โดยอาจมีเลือดปนออกมาด้วย 

สุนัขท้องเสีย

จัดการกับปัญหาสุนัขท้องเสีย

    อาการท้องเสียที่เกิดขึ้นในสุนัขมักมาพร้อมกับอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องอืด และอ่อนเพลีย หากสุนัขของคุณมีอาการเหล่านี้ เจ้าของจะต้องงดการให้อาหาร 6 – 12 ชั่วโมง ให้เฉพาะน้ำเท่านั้น โดยเจ้าของจะต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากยังไม่ดีขึ้นยังถ่ายเหลวหรืออาเจียนอยู่ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้สุนัขท้องเสีย และรักษาได้อย่างถูกจุด

    สุนัขท้องเสียแม้จะไม่ร้ายแรง แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็สามารถทำให้สุนัขเสียชีวิตได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้น เจ้าของอย่างเราจึงต้องพาเจ้าตูบไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ พาไปฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนด รวมทั้งพาเจ้าตูบเข้ารับการถ่ายพยาธิทุก ๆ 6 เดือน และอย่าลืมคอยสังเกตไม่ให้เจ้าตูบกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไปด้วย นอกจากนี้ การเลือกอาหารสุนัขที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็น ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและสุขภาพที่แข็งแรงให้เจ้าตูบได้ อย่าง Buzz Netura High – quailty meat / Grain free อาหารสุนัขที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ย่อยง่าย ช่วยลดปริมาณและกลิ่นของอุจจาระ ไม่แต่งสี กลิ่น รส และสารกันบูด จึงทำให้มั่นใจได้ว่าเจ้าตูบจะมีสุขภาพที่ดี และลดความเสี่ยงที่เกิดปัญหาท้องเสียได้

ก้อนขนอุดตัน ปัญหาของเจ้าเหมียวที่ต้องจัดการ

เพราะเจ้าเหมียวชอบเลียขน จึงไม่แปลกที่จะเกิดปัญหา ก้อนขนอุดตัน ทาสแมวจะต้องหาวิธีป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

 

ก้อนขนอุดตัน เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

ก้อนขนอุดตัน ปัญหาที่มักพบในแมว โดยเฉพาะแมวขนยาว เพราะพฤติกรรมรักสะอาดโดยธรรมชาติของแมวที่มักจะจัดแต่งขน ทำความสะอาดร่างกายตัวเองด้วยการเลียขน ซึ่งลิ้นของเจ้าเหมียวที่มีลักษณะสากเหมือนหนามเล็ก ๆ  จะทำหน้าที่คล้ายกับแปรงช่วยเกี่ยวขนให้หลุดร่วงออกไป ซึ่งขนเหล่านี้ก็ไม่ได้ร่วงลงพื้นหรือหายไปไหน แต่เจ้าเหมียวจะกลืนมันเข้าไปด้วย โดยขนที่อยู่ในทางเดินอาหารจะรวมตัวกันเป็นก้อน หรือที่เรียกว่า ก้อนขน ( Hair Ball ) ซึ่งโดยปกติเจ้าเหมียวจะกำจัดก้อนขนออกจากร่างกายผ่านทางอุจจาระหรืออาเจียนออกมา แต่ในกรณีที่ยังมีก้อนขนตกค้างในทางเดินอาหาร เพราะกินขนเข้าไปมากกว่าปกติ หรือการทำงานของระบบย่อยอาหารผิดปกติ จะส่งผลให้เกิดปัญหาก้อนขนอุดตันได้ ซึ่งสร้างผลกระทบต่อร่างกายของเจ้าเหมียวได้ไม่ใช่น้อย

 

ก้อนขนอุดตัน ส่งผลอย่างไรต่อเจ้าเหมียว

  • ก้อนขนอุดตัน ทำให้ท้องผูกและท้องเสีย เนื่องจากลำไส้จะบีบตัวเพื่อกำจัดก้อนขน ซึ่งการบีบตัวมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ ส่วนกรณีท้องผูก ก็เป็นเพราะก้อนขนขนาดใหญ่อุดตันในลำไส้ทำให้ขับถ่ายลำบาก
  • ก้อนขนอุดตัน ทำให้ไอและอาเจียน เพื่อขับก้อนขนที่ตกค้างออกมา
  • ก้อนขนอุดตัน ทำให้เบื่ออาหารและเซื่องซึม เพราะปัญหาการขับถ่าย รวมทั้งอาการอื่น ๆ ของปัญหาก้อนขนอุดตัน ทำให้เจ้าเหมียวอยากอาหารน้อยลง

เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้าเหมียวจากปัญหาก้อนขนอุดตัน ทาสจะต้องดูแลเอาใจใส่เรื่องการทำความสะอาดร่างกาย และอาหารเป็นพิเศษ

ก้อนขนอุดตัน

 

ป้องกันปัญหาก้อนขนอุดตันด้วยวิธีง่าย ๆ 

วิธีป้องกันปัญหาก้อนขนอุดตัน เริ่มจากการกำจัดต้นต่อของปัญหา นั่นคือ การอาบน้ำให้เจ้าเหมียวอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง โดยต้องเป่าขนให้แห้ง และแปรงขนเป็นประจำ ถึงแม้จะไม่อาบน้ำก็ตาม ทาสก็ต้องหมั่นแปรงขนให้น้อง เพื่อกำจัดขนที่หลุดร่วงออกไปให้ได้มากที่สุด

และท้ายที่สุด คือ การเลือกอาหารแมวที่มีกากใยอาหารสูง เพื่อช่วยขับก้อนขนไม่ให้อุดตันในทางเดินอาหาร อย่าง Buzz Advanced Nutrition อาหารแมวที่ตอบสนองความต้องการทางด้านสุขภาพ ด้วยสารอาหารครบถ้วนตามที่แมวต้องการ พร้อมทั้งมีเส้นใยเซลลูโลสพลัส ช่วยให้เส้นขนผ่านทางเดินอาหารได้ดีขึ้น จึงหมดกังวลว่าจะเกิดปัญหาก้อนขนอุดตันมากวนใจเจ้าเหมียวของคุณ

โรคพิษสุนัขบ้า ภัยร้ายของเจ้าตูบ

โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่แพร่ระบาดได้ทุกฤดู แต่มักพบมากในฤดูร้อน โดยเกิดจากเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ซึ่งสามารถฆ่าชีวิตสุนัขที่คุณรักได้อย่างง่ายดาย 

 

โรคพิษสุนัขบ้า เกิดขึ้นได้อย่างไร

โรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากไวรัส Rabies Virus ซึ่งพบได้ในสัตว์เลือดอุ่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำ ไม่ใช่แค่เพียงสุนัขหรือแมวเท่านั้น โดยเชื้อไวรัสจะอยู่ในน้ำลาย เมื่อได้รับเชื้อ มันจะแพร่กระจายเข้าไปสู่เส้นประสาทส่วนปลาย ไขสันหลัง และเข้าสู่สมอง โดยแบ่งตัวในสมอง และปล่อยเชื้อไวรัสเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย หนึ่งในนั้นคือต่อมน้ำลาย สุนัขที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการภายใน 14 – 90 วัน โดยสามารถแบ่งอาการของโรคได้ 3 ระยะ ดังนี้

 

สังเกตอาการของโรคพิษสุนัขบ้า

1.โรคพิษสุนัขบ้าระยะที่ 1 

    อาการระยะเริ่มแรก จะแสดงอาการ 2 – 3 วัน โดยสุนัขจะมีอุปนิสัยและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หงุดหงิดง่าย แยกมาอยู่ตัวเดียว ไม่คลุกคลีกับเจ้าของเหมือนเคย อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ ม่านตาขยาย และตอบสนองต่อแสงลดลง

2.โรคพิษสุนัขบ้าระยะที่ 2

    อาการระยะตื่นเต้น แสดงอาการ 1 – 7 วัน โดยสุนัขจะมีอาการกระวนกระวาย มีอาการทางประสาท ตอบสนองรุนแรงต่อเสียงและสิ่งเร้า แสดงอาการดุร้าย กัดทุกอย่างที่ขวางหน้า วิ่งอย่างไร้จุดหมาย ไม่แสดงอาการเจ็บปวดแม้จะได้รับบาดเจ็บ เสียงเห่าหอนผิดปกติ ลิ้นห้อย น้ำลายไหลเยอะผิดปกติ

3.โรคพิษสุนัขบ้าระยะที่ 3 

    อาการระยะอัมพาต ซึ่งเป็นระยะที่สั้นที่สุด โดยสุนัขจะคางห้อยตก ลิ้นสีแดงคล้ำห้อยออกมา น้ำลายไหลเยอะมาก ขาอ่อนเปลี้ย ทรงตัวไม่ได้ เมื่อล้มแล้วจะลุกไม่ได้ เกิดเป็นอัมพาตทั้งตัวอย่างรวดเร็ว และตายในที่สุด

โดยการแสดงอาการของสุนัขในแต่ละระยะนั้น จะแบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบดุร้าย และแบบซึม

  • โรคพิษสุนัขบ้าแบบดุร้าย จะแสดงอาการระยะตื่นเต้นเด่นชัด และยาวนาน แต่ระยะอัมพาตสั้นมาก
  • โรคพิษสุนัขบ้าแบบซึม จะแสดงอาการระยะตื่นเต้นสั้นมาก แต่แสดงเด่นชัดในระยอัมพาต

โรคพิษสุนัขบ้าสามารถแพร่เชื้อผ่านทางน้ำลายได้ตั้งแต่ 1 – 7 วันก่อนแสดงอาการจนกระทั่งตาย โดยคนที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ามักติดเชื้อจากการถูกกัด ข่วน ถูกเลีย หรือน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อกระเด็นเข้าแผล

พิษสุนัขบ้า

ป้องกันเจ้าตูบจากโรคพิษสุนัขบ้า

เพราะท้ายที่สุดมักจบด้วยความตาย โรคพิษสุนัขบ้าจึงเป็นโรคที่ร้ายแรงสำหรับเจ้าตูบเป็นอย่างมาก เจ้าของอย่างเราจึงต้องใส่ใจดูแลและป้องกัน ด้วยการ

  • พาเจ้าตูบไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตามกำหนดเวลาเป็นประจำทุกปี
  • จำกัดพื้นที่ หรือใช้สายจูงทุกครั้งเมื่อพาเจ้าตูบไปเดินเล่นนอกบ้าน เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าจากสัตว์ตัวอื่น

 

นอกจากนี้ อย่าลืมเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรง และภูมิคุ้มกันที่ดีให้เจ้าตูบด้วยอาหารสุนัขที่มีความสมดุลทางโภชนาการ Buzz Balance Nutrition อาหารเพื่อสุนัขทุกสายพันธุ์ ที่ประกอบด้วยสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ เพิ่มภูมิคุ้มกันที่ดี บำรุงกระดูก ฟัน ระบบประสาท และสมอง อีกทั้งยังควบคุมปริมาณโซเดียม ไม่แต่งสี และไม่ใส่สารกันบูด เพราะสุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากอาหารที่ให้ เพื่อเจ้าตูบที่คุณรัก ต้องเลือก Buzz Pet Food

เคล็ดลับ ควบคุมน้ำหนักแมว

เพราะโรคอ้วนส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ทาสจึงต้อง ควบคุมน้ำหนักแมว ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อร่างกายที่แข็งแรงของเจ้าเหมียว

 

ทำไมต้องควบคุมน้ำหนักแมว

แมวอ้วนตุ๊ต๊ะอาจดูน่ารัก แต่ที่จริงแล้วแมวของคุณกำลังประสบปัญหาโรคอ้วนอยู่ ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อน้ำหนักของแมว ได้แก่ อายุที่เพิ่มมากขึ้น สายพันธ์ุ เพศ ปัญหาสุขภาพ การทำหมัน ไม่ออกกำลังกาย การให้อาหาร และการกินที่มากเกินไป เมื่อน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน จึงเกิดผลกระทบต่อสุขภาพของเจ้าเหมียวไม่ใช่น้อย

  • ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม โรคเบาหวาน นิ่วในทางเดินปัสสาวะ โรคหัวใจ หายใจติดขัด ไขมันพอกตับ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น
  • แมวอ้วนมักขาดความร่าเริง เล่นน้อยลง เหนื่อยง่าย ชอบนอน จนอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า 

เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ในไม่ช้า ทาสแมวจึงต้องควบคุมน้ำหนักแมวไม่ให้น้องอ้วนจนเกินไป ด้วยวิธีที่ถูกต้อง

ควบคุมน้ำหนักแมว

วิธีควบคุมน้ำหนักแมวที่ทาสแมวควรรู้

1.ควบคุมน้ำหนักแมวสิ่งสำคัญอยู่ที่อาหาร

  • อาหารแมวทั่วไปจะให้พลังงานประมาณ 360 – 400 กิโลแคลอรี่ / 100 กรัม ทาสแมวจะต้องควบคุมปริมาณการให้อาหาร โดยให้ในปริมาณที่แนะนำไว้บนบรรจุภัณฑ์ของอาหารแมว และควรชั่งตวงให้ได้ปริมาณที่ถูกต้องแม่นยำ
  • เลือกอาหารแมวที่มีปริมาณโปรตีนสูง พร้อมด้วยวิตามิน และแร่ธาตุ แต่ต้องไขมันต่ำ เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ ส่งเสริมข้อต่อ กระดูก ให้สมบูรณ์แข็งแรง รวมทั้งเพื่อให้ผิวหนังและขนสุขภาพดีด้วย
  • แมวต้องดื่มน้ำให้ปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงแนะนำให้ทาสแมววางน้ำไว้ตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน 
  • หลีกเลี่ยงการให้ขนมแมว และอาหารของคนกับแมว

 

2.ควบคุมน้ำหนักแมวด้วยการออกกำลังกาย

กระตุ้นให้แมวทำกิจกรรม เล่นสนุกกับของเล่น กระโดด ปีนป่าย หรือพาออกไปเดินนอกบ้าน อย่างน้อย 15 นาที 2 ครั้ง / 1 วัน จะช่วยเผาผลาญได้เป็นอย่างดี

 

3.ควบคุมน้ำหนักแมวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ช่างน้ำหนักแมวทุก ๆ 6 เดือนเป็นอย่างต่ำ เพื่อตรวจเช็กการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก หากน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักตัวปกติ 5 % จะต้องปรับอาหารและปริมาณให้เหมาะสม

 

จะเห็นได้ว่า อาหารมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมน้ำหนักแมว ทาสจึงต้องเลือกอาหารให้เหมาะสม อย่าง Buzz Advanced Nutrition อาหารแมวที่อุดมด้วยสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย มีโปรตีนสูง พร้อมด้วยเส้นใยเซลลูโลส และคาร์นิทีน ที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง รวมทั้งช่วยให้ระบบเผาผลาญไขมันดีขึ้น โดยมีให้เลือกหลากหลายสูตร ตอบโจทย์ทาสแมวที่อยากให้เจ้าเหมียวมีรูปร่างที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง

อุจจาระสุนัข บอกอะไรเรา ?

อุจจาระสุนัข ของเสียที่บอกสุขภาพของเจ้าตูบได้ จากลักษณะ สี ปริมาณ และสิ่งที่ปะปนออกมากับอุจจาระ

 

เมื่อพูดถึงอุจจาระสุนัข กลิ่นก็ลอยตามมาเลยทีเดียว แต่รู้อะไรหรือไม่ อึเหม็น ๆ นี้ สามารถบอกถึงสุขภาพภายในร่างกายของเจ้าตูบได้ ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการขับถ่ายอุจจาระของสุนัข มีดังนี้

 

ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อการขับถ่ายของสุนัข

  • อายุขัย เมื่อสุนัขอายุมาก ประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหาร และขับถ่ายจะต่ำลง ทำให้ถ่ายยากและมักมีภาวะท้องผูกได้ง่าย
  • อาหาร ส่งผลโดยตรงต่อการขับถ่ายของสุนัข หากกินอาหารที่ไม่เหมาะกับสภาพลำไส้ อาจทำให้ท้องเสีย หรืออาหารที่ย่อยยาก ก็จะทำให้ร่างกายไม่สามารถขับถ่ายออกมาได้หมด จึงอุดตันที่ลำไส้ได้
  • การกินน้ำ สุนัขที่กินน้ำน้อย อุจจาระจะแข็ง ทำให้ถ่ายยาก
  • ความเครียด ส่งผลต่อการถ่ายอุจจาระของสุนัข เช่น สุนัขที่มีภาวะความเครียดเนื่องจากการเปลี่ยนที่อยู่ มักจะไม่ยอมขับถ่าย
  • โรคภัยไข้เจ็บ สุนัขที่มีอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร และขับถ่าย เช่น โรคลำไส้อักเสบ จะทำให้สุนัขขับถ่ายลำบาก จนไม่อยากถ่าย

อุจจาระสุนัข

อุจจาระสุนัข บอกถึงสุขภาพของเจ้าตูบได้จริงหรือ ?

ลักษณะ สี ปริมาณ และสิ่งที่ปะปนในอุจจาระสุนัข สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพร่างกายของสุนัขได้ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เจ้าของต้องค่อยสังเกต โดยอุจจาระสุนัขแต่ละแบบ บ่งบอกถึงอะไรบ้าง มาดูกันเลย

อุจจาระสุนัขปกติ

  • ลักษณะอุจจาระสุนัขจับตัวกันเป็นก้อน ไม่แข็ง หรือเหลวเป็นน้ำ
  • มีสีน้ำตาลเหลือง หรือน้ำตาลปนเขียว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่สุนัขกินเข้าไป
  • ไม่มีสิ่งแปลกปลอมปะปนออกมากับอุจจาระ
  • แสดงว่าสุนัขมีสุขภาพร่างกายและระบบขับถ่ายที่ดี

อุจจาระสุนัขสีดำ

  • ลักษณะอุจจาระเป็นก้อนใหญ่ เหนียวคล้ายดินน้ำมัน
  • มีสีเข้ม หรือดำ
  • แสดงว่าระบบย่อยอาหารอาจมีความผิดปกติ หรืออาจมีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น

อุจจาระสุนัขเหลว 

  • ลักษณะอุจจาระเหลว แต่ยังไม่เป็นน้ำ มีมูกปน และส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง
  • แสดงว่าสุนัขอาจมีอาการท้องร่วง หรืออาจติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อบิด

อุจจาระสุนัขเหลวเป็นน้ำ

  • ลักษณะอุจจาระเหลวเป็นน้ำ ไม่เป็นรูปร่าง
  • แสดงว่าสุนัขอาจมีอาการอักเสบที่กระเพาะอาหาร และลำไส้ โดยมักมีอาการอาเจียนร่วมด้วย

อุจจาระสุนัขเป็นไข สีเทา

  • ลักษณะอุจจาระเหลว เป็นไข
  • มีสีเทา 
  • มีเศษอาหารที่ยังไม่ย่อยปะปนออกมา
  • แสดงว่าสุนัขอาจมีปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อน หรือถุงน้ำดี และอาจมีอาการท้องผูกด้วย

อุจจาระสุนัขมีพยาธิ

  • มีพยาธิตัวแบนหรือตัวกลมปะปนอยู่ในอุจจาระสุนัข
  • แสดงว่าสุนัขของคุณกำลังติดพยาธิ

อุจจาระสุนัขมีเลือดปน

  • อุจจาระสุนัขมีสีแดงปนออกมา
  • แสดงว่าอาจมีการอักเสบและเป็นแผลบริเวณทางเดินอาหารส่วนท้าย ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ล่ามไปถึงทวารหนัก หรือบริเวณก้น อาจมีต้นเหตุมาจากการกินอะไรบางอย่างเข้าไป เช่น กระดูกไก่ ไม้แหลม เป็นต้น

อุจจาระสุนัขเป็นเม็ด ๆ 

  • ลักษณะอุจจาระเป็นเม็ด ก้อนเล็ก ๆ 
  • แสดงว่าสุนัขกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับไต ซึ่งมักพบในสุนัขอายุมาก

อุจจาระสุนัขสีเหลือง

  • ลักษณะอุจจาระเหลวคล้ายโคลน
  • มีสีเหลือง
  • แสดงว่าสุนัขอาจมีปัญหาเกี่ยวกับโรคตับ ถุงน้ำดี และตับอ่อน

อุจจาระสุนัขสีเขียว

  • อาจมีเศษหญ้าปะปนออกมาด้วย
  • มีสีเขียว
  • แสดงว่าสุนัขอาจกินหญ้ามากเกินไป หรืออาจประสบกับปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดีอยู่

ทั้งนี้ ปริมาณอุจจาระสุนัขจะต้องสอดคล้องกับปริมาณการกินของสุนัข เพราะหากอุจจาระมีปริมาณมากกว่าการกิน ก็อาจบ่งบอกว่าระบบย่อยอาหารและดูดซึมทำงานผิดปกติ หรือหากอุจจาระมีปริมาณน้อยเกินไป ก็จะบ่งบอกถึงภาวะท้องผูก และการอุดตันของทางเดินอาหาร ทำให้สุนัขไม่สามารถขับถ่ายได้อย่างปกติ

 

เพราะอุจจาระสุนัข บ่งบอกถึงสุขภาพของเจ้าตูบได้ การดูแลให้เจ้าตูบมีสุขภาพแข็งแรง และระบบขับถ่ายที่ดี จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของอย่างเราลืมไม่ได้ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ส่งผลโดยตรงในเรื่องนี้ ก็คือ อาหาร เราจึงต้องเลือกอาหารที่ดีอย่าง Buzz Netura High – quality meat / Grain – free อาหารสุนัขที่อุดมไปด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ ย่อยง่าย ช่วยลดกลิ่นมูล ควบคุมน้ำหนัก ไม่แต่งสี กลิ่น รส และสารกันบูด จึงทำให้สุนัขมีสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว

 

เชื้อราแมว โรคผิวหนังที่ติดต่อสู่คนได้

เชื้อราแมว โรคผิวหนังที่เกิดขึ้นได้กับเจ้าเหมียว และสามารถติดต่อสู่คนได้ ทาสแมวจึงต้องดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้กับเจ้าเหมียวของคุณ

 

เชื้อราแมว เกิดขึ้นได้อย่างไร

เชื้อราแมว เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้ในสัตว์เลี้ยงมีขนอย่าง แมว สุนัข กระต่าย เป็นต้น ซึ่งมักพบในแมว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแมวขนยาวมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น ซึ่งเกิดจากเชื้อราที่ชอบความชื้น ไม่ว่าจะเป็น Microsporum canis, Microsporum gypseum หรือ Trichophyton mentagrophyte ล้วนเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคบนผิวหนัง ที่จะพบได้ในเจ้าเหมียวอายุน้อย ป่วยหรือมีโรคประจำตัว และอายุมากทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ เชื้อราพวกนี้จึงจู่โจมได้ง่าย 

 

อาการของโรค เชื้อราแมว

อาการของโรคสังเกตุง่าย ๆ บริเวณผิวหนังของแมวจะแห้ง มีผื่นแดง ผิวหนังลอกเป็นขุย เป็นวง ๆ และมีขนร่วงเป็นหย่อม ๆ โดยแมวจะมีอาการคันร่วมด้วย หากทาสไม่ได้สังเกตอาการผิดปกติดังกล่าว แล้วไปสัมผัส กอด อุ้ม ลูบ หอมเจ้าเหมียว ทาสอย่างเราก็มีโอกาสที่จะติดโรคเชื้อราแมวได้เช่นกัน.

 

เชื้อราแมว

 

เชื้อราแมว ติดสู่คนได้

โดยอาการของคนที่ติดเชื้อราแมว จะมีผื่นแดงขึ้นเป็นวง ตามบริเวณที่ได้สัมผัสกับแมว เช่น มือ แขน ใบหน้า เป็นต้น โดยมักจะมีอาการคันร่วมด้วย หากมีอาการในลักษณะนี้ ทาสแมวควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา โดยการรักษามีทั้งการใช้ยาทาและยากินฆ่าเชื้อรา

 

การรักษา และป้องกันเชื้อราแมว

ส่วนเจ้าเหมียวที่ป่วยด้วยโรคเชื้อราแมว ทาสควรรีบพาน้องไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยเร็ว และต้องป้องกันไม่ให้เจ้าเหมียวป่วยอีก ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • พาเจ้าเหมียวไปฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อราแมว และตรวจสุขภาพเป็นประจำ
  • อาบน้ำให้เจ้าเหมียวอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ด้วยแชมพูที่ช่วยฆ่าเชื้อรา และเป่าขนให้แห้งสนิททุกครั้ง
  • ทำความสะอาดบริเวณที่แมวอยู่ให้สะอาด ไม่อับชื้น โดยคุณสามารถฆ่าสปอร์ของเชื้อราแมวที่หลุดร่วง ซึ่งอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี ด้วยสารฟอกขาวละลายน้ำในอัตราส่วน 1 ต่อ 10
  • ทาสต้องไม่คลุกคลีกับเจ้าเหมียวมากเกินไป และอย่าลืมล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้อง

 

และท้ายที่สุด เสริมสร้างสุขภาพที่ดีจากภายใน เพื่อภูมิต้านทานร่างกายที่แข็งแรงให้เจ้าเหมียวที่คุณรักห่างไกลจากโรคเชื้อราแมว ด้วย Buzz Advanced Nutrition สูตรบำรุงเส้นขนและผิวหนัง อาหารแมวที่ประกอบด้วยวิตามิน และสารอาหารจำเป็นครบถ้วน พร้อมเสริมด้วยคอลลาเจน ที่ช่วยให้เจ้าเหมียวมีสุขภาพผิวหนังที่ดี และขนที่เงางาม

 

บาร์ฟ ดีต่อสุนัขของคุณอย่างไร

บาร์ฟ คืออะไร ? ใครรู้บ้าง ก่อนให้บาร์ฟแก่สุนัขของคุณ เรามาทำความรู้จักกับอาหารประเภทนี้อย่างถ่องแท้กันก่อนดีกว่า

 

บาร์ฟ คืออะไร ?

บาร์ฟ ( BARF ) มาจากคำว่า Biological Appropriate Raw Foods ที่หมายถึงอาหารสดแบบดิบนั่นเอง ซึ่งเคยเป็นพฤติกรรมการกินแบบเดิมของสุนัขในอดีต ก่อนที่จะกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของเรา สุนัขเคยเป็นนักล่า และกินอาหารดิบมาก่อน โดยบาร์ฟในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเพียงเนื้อ หรือกระดูกสดเท่านั้น แต่ยังหมายรวม ผัก ผลไม้ ธัญพืชสดด้วย

บาร์ฟ

เคยมีผู้ทดลองให้สุนัขกินบาร์ฟติดต่อกัน ผลปรากฎว่า สุนัขมีสุขภาพดี และแข็งแรงขึ้น ปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ และผิวหนังก็ลดลง เห็นอย่างนี้หลายคนคงเริ่มอยากให้สุนัขกินบาร์ฟกันแล้วใช่ไหมล่ะ ดังนั้น เรามาดูกันดีกว่าว่า ข้อดีของการกินบาร์ฟมีอะไรบ้าง

 

สุนัขกินบาร์ฟ ดีอย่างไร ?

  • สุนัขจะได้รับสารอาหารเต็มที่
  • เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง
  • ผิวหนังสุขภาพดี ลดปัญหาโรคผิวหนัง และอาการแพ้ต่าง ๆ
  • ขนเงางาม ไม่หลุดร่วงง่าย และลดกลิ่นตัว
  • ฟันสะอาด เหงือกแข็งแรง และลดปัญหากลิ่นปาก
  • ช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ระบบย่อยอาหาร และขับถ่ายดี ทำให้ปริมาณและกลิ่นของอุจจาระน้อยลง
  • ไม่มีวัตถุกันเสีย สีสังเคราะห์ และสารปรุงแต่ง
  • เสริมภูมิต้านทานให้สุนัข ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคไขข้อ โรคมะเร็ง เป็นต้น

บาร์ฟที่ดีต้องสดใหม่

แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การให้บาร์ฟแก่สุนัขก็มีความเสี่ยงไม่ใช่น้อย เนื่องจากของสดมีความเสี่ยงที่จะมีสารปนเปื้อน เชื้อโรค และพยาธิ ทางที่ดีคุณจะต้องเลือกของสดใหม่วันต่อวันให้แก่สุนัข และถ่ายพยาธิสุนัขเป็นประจำทุกเดือน นอกจากอันตรายจากเชื้อโรคแล้ว การให้บาร์ฟยังมีข้อเสียอีก คือ ราคาค่อนข้างสูง มีความยุ่งยากในขั้นตอนการเตรียมอาหาร เก็บรักษาได้ไม่นาน และสุนัขมีความเสี่ยงต่อภาวะการขาดสารอาหาร เกิดการอักเสบของกระเพาะ และลำไส้ รวมทั้งเกิดภาวะท้องผูกได้ง่าย หากให้บาร์ฟในสัดส่วนที่ไม่สมดุล

 

วิธีให้บาร์ฟแก่สุนัข

ปริมาณบาร์ฟที่ให้แก่สุนัข ขึ้นอยู่กับขนาดและสารพันธ์ุ โดยในช่วงแรกของการให้บาร์ฟ ควรให้ในปริมาณน้อย ๆ ก่อน เพื่อให้สุนัขปรับตัวราว 7 วัน หลังจากนั้นค่อยเพิ่มปริมาณ หากต้องการให้สุนัขกินผัก ก็สามารถบดผักผสมลงไปในเนื้อสัตว์ด้วยก็ได้

การกินบาร์ฟให้ได้สารอาหารครบถ้วน เราควรจัดตารางอาหารใน 1 สัปดาห์ ให้สุนัข โดยให้อาหารประเภทเนื้อ 5 วัน อาหารปราศจากเนื้อ 1 วัน และงดอาหาร 1 วัน ( ยกเว้นในกรณีที่เป็นลูกหมา )

 

บาร์ฟ จึงเป็นอาหารทางเลือกที่ช่วยให้สุนัขของคุณมีสุขภาพที่แข็งแรงได้ หากใครยังไม่แน่ใจว่าเจ้าตูบของคุณกินบาร์ฟได้หรือไม่ ก็สามารถปรึกษาสัตวแพทย์ได้ แต่ถ้ายังไม่อยากให้บาร์ฟแก่สุนัข เราก็มีอีกหนึ่งทางเลือกที่อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ไม่แพ้กัน นั่นคือ Buzz Netura High – Quality Meat / Grain Free อาหารสุนัขที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์คุณภาพพรีเมียม พร้อมผัก ผลไม้ ที่อุดมด้วยวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ ย่อยง่าย ช่วยควบคุมน้ำหนัก บำรุงขนให้เงางาม ลดความเสี่ยงที่จะเป็นภูมิแพ้อาหาร รวมทั้งลดปริมาณ และกลิ่นอุจจาระสุนัข ไม่แต่งสี กลิ่น รส และไม่มีสารกันบูด รับรองได้ว่า เจ้าตูบจะมีสุขภาพแข็งแรงได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน

 

ฉีดวัคซีนแมว สิ่งสำคัญที่ทาสแมวต้องทำ

ฉีดวัคซีนแมว เป็นเรื่องสำคัญที่ทาสแมวละเลยไม่ได้ เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้เจ้าเหมียวมีสุขภาพที่ดี อยู่เป็นเพื่อนกันไปนาน ๆ

 

การฉีดวัคซีนแมว สำคัญอย่างไร

ฉีดวัคซีนแมว เป็นเหมือนการฉีดเชื้อโรคที่อ่อนแรงเข้าไป เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคนั้น ๆ ซึ่งมักเป็นโรคร้ายแรงที่รักษาได้ยาก หรือรักษาไม่ได้ เช่น โรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้หัดแมว โรคลำไส้อักเสบในแมว เป็นต้น การฉีดวัคซีนแมวจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยปกป้องเจ้าเหมียวจากโรคต่าง ๆ โดยวัคซีนแมวแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

 

ฉีดวัคซีนแมว ต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง ? 

1.ฉีดวัคซีนแมวต้องฉีดวัคซีนหลัก

แมวทุกตัวต้องฉีดวัคซีนหลัก เพื่อป้องกันโรคเหล่านี้ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง

  • วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
  • วัคซีนเชื้อเฮอร์ปีส์ไวรัส – 1 
  • วัคซีนเชื้อแคลิซิไวรัสแมว
  • วัคซีนเชื้อไวรัสไข้หัดแมว

2.ฉีดวัคซีนแมวอาจต้องฉีดวัคซีนทางเลือก

แมวบางตัวอาจต้องฉีดวัคซีนทางเลือก ในกรณีที่แมวมีความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อ และอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง

  • วัคซีนไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องในแมว
  • วัคซีนลิวคีเมียไวรัส ( บางแหล่งจัดเป็นวัคซีนหลัก )
  • Chlamydia felis 
  • Bordetella bronchiseptica

3.ฉีดวัคซีนแมวก็มีวัคซีนที่ไม่แนะนำให้ฉีดด้วย

ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนที่มีผลข้างเคียงรุนแรง หรือกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคไม่ชัดเจน

ดังนั้น การฉีดวัคซีนแมวทุกครั้ง ทางที่ดีควรอยู่ในความดูแลของสัตวแพทย์ เพื่อความปลอดภัยของเจ้าเหมียว เพราะสัตวแพทย์จะสามารถประเมินความเสี่ยง ช่วงวัยที่เหมาะสม ชนิดของวัคซีน และกำหนดโปรแกรมการฉีดวัคซีนของแมวแต่ละตัวได้ดีที่สุด

ฉีดวัคซีนแมว ต้องฉีดเมื่อไหร่

ทาสแมวมือใหม่หลายคนคงมีคำถามว่า แล้วต้องพาเจ้าเหมียวไปฉีดวัคซีนเมื่อไหร่ ? วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณแล้ว

วัคซีนแมว

ในช่วงแรกเกิด ลูกแมวจะได้รับภูมิคุ้มกันจากนมแม่ แต่หลังจากหย่านม ภูมิคุ้มกันจากแม่จะค่อย ๆ ลดลง ลูกแมวจึงต้องได้รับวัคซีน ดังนั้น ในการฉีดวัคซีนครั้งแรก ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนหลัก แมวจะต้องมีอายุประมาณ 7 – 9 สัปดาห์ หรือราว 2 เดือน จึงสามารถพามาฉีดได้ และควรฉีดครั้งที่ 2 ใน 3 – 5 สัปดาห์หลังจากนั้น 

  • ฉีดวัคซีนแมวอายุ 8 สัปดาห์ ( วัคซีนเข็มแรก ต้องฉีดกระตุ้นซ้ำ 1 – 2 ครั้ง )

ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หัด หวัดแมว และโรคระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และลิ้นอักเสบ

  • ฉีดวัคซีนแมวอายุ 11 สัปดาห์

ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หัด หวัดแมว และโรคระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และลิ้นอักเสบ

  • ฉีดวัคซีนแมวอายุ 14 สัปดาห์

ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หัด หวัดแมว และโรคระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และลิ้นอักเสบ

  • ฉีดวัคซีนแมวอายุ 17 สัปดาห์

ฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า (ครั้งที่ 1 )

  • ฉีดวัคซีนแมวอายุ 20 สัปดาห์

ฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า (ครั้งที่ 2 )

ในทุก ๆ 1 ปี แมวจะต้องได้รับการฉีดกระตุ้นวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า ไข้หัด หวัดแมว โรคระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และลิ้นอักเสบ ทั้งนี้ โปรแกรมการฉีดวัคซีนแมวจะปรับเปลี่ยนตามดุลพินิจของสัตวแพทย์

 

การฉีดวัคซีนแมว จึงเป็น 1 วิธี ในการดูแลสุขภาพของเจ้าเหมียวให้ปลอดภัย ห่างไกลโรค แมวทุกตัวจึงต้องได้รับการฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี แต่นอกจากการได้รับวัคซีนแล้ว การดูแลสุขภาพของเจ้าเหมียวด้วยการเลือกอาหารแมวคุณภาพดี ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน ทาสแมวจึงต้องเลือกสรรอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนให้เจ้าเหมียว อย่าง Buzz Balance Nutrition อาหารแมวที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็น มีโซเดียมต่ำ ไม่มีสีสังเคราะห์ และสารกันบูด เพื่อสุขภาพที่ดีของแมวที่คุณรัก 

 

รวม อาหารอันตรายต่อแมว ที่เจ้าทาสควรรู้

อาหารอันตรายต่อแมว เรื่องใหญ่ที่เจ้าทาสอย่างเราต้องรู้ และทำความเข้าใจให้ดี เพราะอาหารบางอย่าง หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบเล็ก ๆ น้อย ๆ บางประเภทที่เรามองว่าส่งผลดีต่อร่างกายมนุษย์ อาจจะไม่ได้เป็นผลดีกับร่างกายของน้องแมว ซ้ำร้ายกว่านั้นอาจจะกลายเป็นโทษรุนแรงถึงขั้นชีวิตเลยก็มี ซึ่งคุณเองก็คงไม่ได้อยากเป็นคนหยิบยื่นยาพิษเหล่านี้ให้น้องแน่ ๆ ดังนั้น เรามาทำความเข้าใจ “อาหารอันตรายต่อแมว” กันค่ะ ว่ามีสิ่งไหนที่แมวเหมียวกินไม่ได้ เข้าขั้นอันตราย หรือสิ่งไหนที่กินได้แต่ควรหลีกเลี่ยงบ้าง พร้อมทั้งเจาะลึกว่าอาหารต้องห้ามแต่ละอย่าง ให้โทษส่งผลต่อร่างกายน้องแมวอย่างไร มาดูกัน 

ห้ามเด็ดขาด อาหารอันตรายต่อแมว 

เพราะร่างกายของน้องแมว โดยเฉพาะระบบย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ มีความแตกต่างกับมนุษย์และสัตว์ประเภทอื่น บางอย่างที่เป็นประโยชน์กับเรา อาจจะส่งผลร้ายกับน้องแมวถึงขั้นเสียชีวิต สำหรับอาหารอันตรายต่อแมวที่ห้ามอย่างเด็ดขาด จะมีดังนี้ 

อาหารอันตรายต่อแมว

ช็อกโกแลต : เรื่องนี้ไม่ใช่แค่กับน้องหมาเท่านั้น แต่น้องแมวเหมียวก็ด้วย สำหรับช็อกโกแลตของหวานสุดโปรดของใครหลาย ๆ คน แต่กลายเป็นสิ่งต้องห้ามจนเปรียบเสมือนยาพิษของเหล่าสัตว์ต่าง ๆ ภายในช็อกโกแลตมีสาร “Theobromine” สารอันตรายที่ส่งผลต่อการโดยตรงต่อระบบหายใจ หากแมวได้รับจะมีอาการหายใจถี่ผิดปกติ คลื่นไส้ กระสับกระส่าย หรือมีอาการท้องเสียร่วมด้วย ช็อกโกแลตไม่กี่มิลลิกรัม สามารถทำให้น้องกลับดาวแมวได้เลย และยิ่งหากเป็นตัวดาร์กช็อกโกแลตด้วยแล้ว ความเข้มข้มของสาร Theobromine มีสูงมาก เท่ากับเพิ่มความอันตรายอีกเท่าตัว 

มะเขือเทศ : สงสัยกันแน่ ๆ ว่ามะเขือเทศเนี่ยนะหรอ? ส่งผลร้ายกับน้องแมว บอกเลยว่าส่งผลมากกว่าที่คิดค่ะ ภายในมะเขือเทศจะมีสารอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่า “กลีโคอัลคาลอยด์ โซลานีน” หากแมวได้รับเข้าไปแล้วจะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ มีโอกาสช็อก และเสียชีวิตได้ทันที อันตรายมาก 

อาหารอันตรายต่อแมว เลี่ยงได้ต้องเลี่ยง 

สำหรับอาหารบางชนิดอาจไม่ได้เป็นอันตรายต่อน้องแมวรุนแรงถึงขั้นชีวิตแบบเฉียบพลัน แต่ถ้าไม่หลีกเลี่ยง หรือระวังเป็นพิเศษละก็ ส่งผลต่อสุขภาพในอนาคตของน้องอย่างแน่นอน่นกัน สำหรับอาหารอันตรายต่อแมวที่ควรเลี่ยง มีดังนี้ 

อาหารปรุงของคน : อาหารที่ผ่านการปรุงแบบที่คนกิน โดยเฉพาะอาหารประเภททอดจะนำพาน้องไปสู่การเป็นโรคมะเร็ง โรคไต ในอนาคตได้ง่ายกว่าเดิมอย่างแน่นอน เพราะร่างกายของแมวไม่มีระบบขับถ่าย หรือตัวช่วยคัดกรองสารก่อมะเร็งได้เท่ากับคน พอร่างกายต้องทำงานอย่างหนักเพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้บ่อย ๆ เข้าก็จะเสื่อมไปตามสภาพ 

ปลาดิบ ไข่ดิบ : การให้น้องแมวกินอาหารดิบเป็นระยะเวลานาน ๆ จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดวิตามิน B, B1 ซึ่งส่งผลต่อปัญหาผิวหนัง ท้องเสีย อาหารเป็นพิษจากแบคทีเรีย น้องแมวบางรายอาจถึงขั้นช็อกหมดสติ และเสียชีวิตได้ในที่สุด 

ยีสต์ : เมนูที่มีส่วนผสมของยีสต์โดยเฉพาะขนมปังต่าง ๆ อาจทำให้แมวเกิดอาการปวดท้อง ภูมิแพ้ อาจเป็นสาเหตุของอาการผิวหนังอักเสบได้ 

ตับ : สำหรับเรา “ตับ” อาจจะเป็นเมนูที่มีประโยชน์ในด้านธาตุเหล็กมาก แต่สำหรับแมวแล้วกลับให้โทษมากกว่า เพราะจะส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินเอในร่างกายของน้องแมว ทำให้เกิดกระดูกเปราะ และยังมีผลต่อการเจริญเติบโตของมดลูกอีกด้วย

ลูกเกด องุ่น : เจ้าผลไม้รสชาติหวานอมเปรี้ยวของโปรดของใครหลาย ๆ คนเนี่ยละ ถือเป็นยาพิษแบบผ่อนส่งให้นอนแมวกลับไปวิ่งเล่นดาวแมวอย่างสงบมานักต่อนักแล้ว สารบางอย่างในองุ่นจะทำให้แมวเหมียวเกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง ยิ่งหากได้รับในปริมาณมาก ๆ หรือมีแพ้อาหารประเภทนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน ความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

เพราะเรื่องของอาหาร คุณค่าทางโภชนาการต่าง ๆ เจ้าของอย่างเราคือผู้หยิบยื่นให้เขาเต็ม ๆ น้องแมวจะสุขภาพดี ได้รับโภชนาการที่ครบถ้วน หรือป่วยง่าย สุขภาพไม่แข็งแรง จะเป็นอย่างไรส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้ว นอกจากการทำความเข้าใจธรรมชาติของแมว ให้ความรัก ความเอาใจใส่ เรียนรู้ว่าอะไรที่เป็นอาหารอันตรายต่อแมวแล้ว เรื่องโภชนาการจากอาหารที่ต้องครบถ้วน อยู่ในปริมาณเหมาะสม แม่นยำตามที่แมวสุขภาพดีซักตัวจะต้องมี ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด มอบความรักให้เขาผ่านอาหารแมวที่เข้าใจแมวมากที่สุดอย่าง Buzz Pet Food ผ่านการวิจัย คัดสรรวัตถุดิบที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์กับสุขภาพร่างกาย ทั้งภายในและภายนอกมากที่สุด เพื่อให้เขาคงความสดใส ร่าเริง เล่นสนุกอยู่กับคุณได้ในทุก ๆ วัน 

มารู้จักกับ อาหารโฮลิสติก อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับน้องหมาตัวโปรด

อาหารโฮลิสติก เป็นอาหารสัตว์อีกหนึ่งเกรดที่กำลังเป็นที่รู้จักในหมู่แวดวงของคนรักสัตว์ โดยเฉพาะเจ้าทาสคนไหนที่อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก ๆ ของตัวเอง อาหารโฮลิสติกถือเป็นอาหารเกรดสูงอันดับต้น ๆ ของประเภทอาหารสัตว์ที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของสัตว์เลี้ยงโดยตรง ทั้งในแง่ระบบภายในร่างกาย ความแข็งแรง พลังงานที่ได้รับ ผิวหนังขนสวย การขับถ่าย ส่งผลแม้กระทั่งกลิ่นของมูล แต่เพราะอะไร? อาหารประเภทนี้ถึงมีความแตกต่างจากอาหารสุนัขปกติทั่วไป วันนี้ Buzz pet มีคำตอบมาฝากค่ะ 

 

อาหารโฮลิสติก คืออะไร? 

อาหารโฮลิสติก เป็นอาหารสัตว์ที่โดดเด่นในเรื่องการเลือกใช้วัตถุดิบมาก โดยจะเน้นไปที่การใช้ของที่มาจากธรรมชาติแท้และสารอินทรีย์ ใช้เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้หลากหลายประเภท ส่วนใหญ่จะเน้นเฉพาะวัตถุดิบแบบ Human Grade หรือวัตถุดิบเกรดเดียวกับคน ไม่มีการใช้เศษเนื้อ เศษอาหาร ไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ทางเคมี สารถนอมอาหาร สารกันบูดกันเสีย เติมสี หรือแต่งกลิ่นแต่อย่างใด นอกจากนี้ อาหารโฮลิสติกยังมีการคำนวณคุณค่าทางโภชนาการได้อย่างครบถ้วน แม่นยำ และมีความเฉพาะเจาะจงสูง อาหารสัตว์ประเภทนี้จึงมีแบ่งแยกย่อยออกเป็นหลาย ๆ สูตร ที่มีให้เห็นบ่อยจะแบ่งในเรื่องของขนาดตัว พันธุ์ เป็นต้น 

โดยคำว่า “โฮลิสติก” มีความหมายว่า “องค์รวม” อาหารประเภทนี้จึงมีหัวใจสำคัญในเรื่องการดูแลสุขภาพร่างกายสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงประเภทอื่น ๆ แบบองค์รวม ตั้งแต่ระบบภายในร่างกาย อาหารย่อยง่าย ลดปัญหาสัตว์เลี้ยงแพ้อาหาร ดูแลเรื่องความแข็งแรง ทำให้เขาได้รับพลังงานที่เพียงพอ พร้อมเล่นสนุกได้ในแต่ละวัน ดูผิวหนังขนให้สวยเงางาม ระบบขับถ่ายอยู่ในเกณฑ์ดี อึถ่ายเป็นก้อน ละเอียดไปจนถึงเรื่องของกลิ่นจากมูลน้องหมา ที่จะไม่ส่งกลิ่นแรงเหมือนอาหารเกรดอื่นเลยทีเดียว 

อาหารโฮลิสติก

สุขภาพสุนัขที่กินอาหารโฮลิสติก

เพราะความใส่ใจตั้งแต่วัตถุดิบ กรรมวิธีในการผลิตเพื่อให้ได้อาหารโฮลิสสิกที่อุดมไปด้วยสารอาหารจากธรรมชาติแท้อย่างครบถ้วนนั้นเอง จึงทำให้อาหารประเภทนี้สามารถดูแลสุขภาพน้องหมาได้ทั้งองค์รวม ดูแลทุกระบบ ตอบสนองต่อเนื่องกันไปอย่างเป็นระเบียบ ยิ่งหากให้น้องหมากินเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เราจะยิ่งสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลง หรือรู้สึกได้ถึงความแข็งแรงสุขภาพดีของเขา ซึ่งข้อดีที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพมีดังนี้ 

  • สามารถใช้เพิ่มน้ำหนักให้สุนัขที่ขาดสารอาหาร หรือช่วยลดน้ำหนักสุนัขที่อ้วนจนเกินไปได้ 
  • เน้นใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่ย่อยง่าย มีมวลขนาดเล็ก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย ไม่มีปัญหาการย่อยอาหารผิดปกติ ไม่ทำให้น้องหมามีอาการแพ้อาหาร โดยเฉพาะอาการแพ้โปรตีน หรือแพ้ธัญพืช 
  • ปรับสุขภาพผิวหนังให้ดี ขนสวยเงางาม 
  • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ไม่ป่วย ไม่เป็นโรคง่าย ๆ
  • ส่งเสริมในเรื่องระบบย่อยอาหาร ตั้งแต่การใช้วัตถุดิบที่มีกากใยสูง มีเอมไซน์ช่วยย่อยต่าง ๆ ลดกลิ่นของมูลของน้องหมาได้อีกด้วย 
  • ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวเป็นอย่างมาก เพราะภายในร่างกายของน้องหมาที่มีสารตกค้างจากเคมีที่ติดมากับอาหารสุนัข 

 

การที่เจ้าตูบของคุณจะมีสุขภาพแข็งแรง ร่าเริงแจ่มใส ไม่เจ็บไม่ป่วยง่าย ๆ ปัจจัยสำคัญคือเรื่องของอาหารค่ะ การเลือกอาหารโฮลิสติกอย่าง BUZZ Netura สูตรเนื้อปลาแซลมอลจากประเทศเบลเยี่ยม อัดแน่นไปด้วยโภชนาการจากวัตถุดิบจากธรรมชาติที่ดีที่สุด ใช้เฉพาะ High Quality Meat, Grain Free ไม่ใส่เกลือ ปราศจากธัญพืช ไม่มีการเเต่งสี กลิ่น รส และสารกันบูด ถือเป็นทางเลือกสำคัญที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน หากมองไปถึงสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจของสุนัขในระยะยาว

ดูแลแมวแก่ ทาสอย่างเราต้องทำอย่างไร

ดูแลแมวแก่ เพื่อนรักที่อยู่กับเรามานาน ให้มีสุขภาพดีและแข็งแรงนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทาสแมวต้องเอาใจใส่ ไม่ปล่อยปละละเลยเท่านั้นเอง

 

แมวอายุกี่ปี ถึงเรียกว่าดูแลแมวแก่

ดูแลแมวแก่ ก็เหมือนการดูแลผู้สูงอายุย่อมมีความแตกต่างจากการดูแลในช่วงแรก ๆ ที่นำเขามาเลี้ยงอยู่แล้ว เพราะอายุที่มากขึ้นจึงมักจะนำพาหลายปัญหาตามมาด้วย  แมวแก่จึงเป็นช่วงอายุที่ต้องการการดูแลมากเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารการกิน สิ่งแวดล้อม และการใส่ใจในเรื่องสุขภาพ แล้วเจ้าเหมียวของคุณอยู่ในวัยสูงอายุหรือยัง ? เราสามารถรู้ได้ จากการแบ่งช่วงวัยของแมว สามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ดังนี้  

  • ช่วงโตเต็มวัย 7 – 10 ปี
  • ช่วงสูงวัย 11 – 14 ปี
  • ช่วงวัยชรา 15 ปีขึ้นไป โดยแมวอายุ 10 ปี จะเท่ากับคนอายุ 56 ปี 

สัญญาณที่บ่งบอกว่าเจ้าเหมียวเข้าสู่ช่วงสูงวัยแล้ว คือ การดมกลิ่น รับรส และการได้ยินของเขาจะลดประสิทธิภาพลง มีปัญหาช่องปากและฟันมากขึ้น เช่น ฟันหลอ ฟันสึก ข้อต่อมีความยืดหยุ่นน้อยลงจึงมักเกิดปัญหาในยามที่ต้องเคลื่อนไหว เดินกะเพลก ปัญหาผิวหนังและขน ขนซีดลง หยาบกระด้าง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง หรือแสดงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น นอนเยอะ ไม่เล่น ไม่เลียขน ซึ่งแมวแต่ละตัวจะแสดงสัญญาณแห่งความสูงวัยไม่เหมือนกัน 

 

ดูแลแมวแก่

ดูแลแมวแก่ ต้องทำอย่างไร

  • ดูแลแมวแก่ ต้องพาไปพบสัตวแพทย์เป็นประจำ

เมื่อแมวเข้าสูงช่วงสูงวัยตั้งแต่อายุ 10 ปีขึ้นไป ทาสแมวควรพาน้องไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หากตรวจพบโรคต่าง ๆ จะได้รักษาได้ทันเวลา โดยโรคส่วนใหญ่ที่พบจะเกิดจากความเสื่อมสภาพของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น

  • โรคเบาหวาน เป็นหนึ่งในโรคที่เกี่ยวกับฮอร์โมน โดยอาการที่แสดงออก คือ แมวจะกินน้ำมาก ปัสสาวะมาก กินอาหารเยอะแต่น้ำหนักลด
  • โรคไขข้ออักเสบ ทำให้เจ็บเวลาเคลื่อนไหว แมวจึงทำกิจกรรมที่เคยทำเป็นประจำน้อยลง เช่น การเที่ยวนอกบ้าน การเล่นสนุก เป็นต้น
  • โรคไฮเปอร์ไทรอยด์ เกิดจากต่อมไทรอยด์ผลิตหรือรับฮอร์โมนไทร์ออกซินมากเกินไป อาการที่บ่งบอก คือ ขนเริ่มหยาบกระด่าง  แมวกินอาหารปกติ หรือมากกว่าปกติแต่น้ำหนักลด กินน้ำเยอะ ปัสสาวะบ่อย
  • โรคปริทันต์ ปัญหาฟันและเหงือกที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งสร้างผลกระทบต่อการกินอาหารทำให้น้ำหนักลด น้ำลายยืด ปากปิดไม่สนิท ปากมีกลิ่นเหม็นรุนแรง
  • โรคไต เกิดจากภาวะไตเสื่อมหรือได้รับบาดเจ็บ โดยโรคนี้มักแสดงอาการไม่ชัดเจน คือ กินน้ำเยอะ ปัสสาวะเยอะ น้ำหนักลด โลหิตจาง มีแผลในปาก ซึ่งลักษณะอาการคล้ายกับโรคอื่น ๆ ที่กล่าวมา
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด อาการที่มักสังเกตได้คือ แมวจะไม่เล่น เซื่องซึม เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก น้ำหนักลด 
  • โรคมะเร็ง มีสาเหตุและอาการที่หลากหลายขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่พบเซลล์มะเร็ง

เพราะโรคเหล่านี้มีโอกาสพัฒนาเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เราจึงห้ามลืมที่จะพาเจ้าเหมียวไปตรวจเช็กสุขภาพอย่างเด็ดขาด ซึ่งหากพบอาการที่บ่งบอกโรคใดโรคหนึ่ง ต้องรีบพาน้องไปพบสัตวแพทย์ทันที ทั้งนี้ ถ้าเจ้าเหมียวมีประวัติเคยรักษาโรคหรือมีความเสี่ยง ทาสแมวควรพาน้องไปตรวจสุขภาพทุก ๆ 6 เดือน จะดีที่สุด

 

  • ดูแลแมวแก่ ต้องพาไปออกกำลังกาย

อย่าปล่อยให้เจ้าเหมียวอายุมากอยู่นิ่งนาน ๆ ทาสแมวควรกระตุ้นให้น้องเล่นเบา ๆ อย่างน้อยวันละ 15 – 30 นาที อาจใช้ของเล่นที่น้องชอบเป็นตัวล่อ เพื่อให้น้องได้ขยับร่างกาย ซึ่งเป็นการออกกำลังกายง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกวัน

 

  • ความสะอาด สิ่งสำคัญของการดูแลแมวแก่

แมวอายุมากมักเลียขนตัวเองลำบาก ทาสแมวจึงต้องดูแลแมวแก่โดยการช่วยแปรงขนให้น้องเป็นประจำ เพื่อกำจัดขนร่วงและขนที่พันกัน จะทำให้แมวมีสุขภาพขนและผิวหนังที่ดีมากขึ้น นอกจากนี้การทำความสะอาดบริเวณใบหน้าก็สำคัญ ส่วนใกล้ดวงตาอาจมีขี้ตาและคราบน้ำตา ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดอย่างเบามือ นอกจากนี้อย่าลืมตัดเล็บให้น้องด้วย เพราะเมื่อแมวแก่ตัวลง เขาจะไม่สามารถจัดการกับเล็บคม ๆ ได้เหมือนตอนยังวัยรุ่นอยู่

  • สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สำหรับดูแลแมวแก่

ทาสแมวจะต้องทำความสะอาดที่อยู่ของเจ้าเหมียวเป็นประจำ เพื่อลดโอกาสการติดปรสิต คอยจัดถาดอาหาร น้ำ และกระบะทรายให้เข้าถึงง่าย และควรเพิ่มให้อยู่ทุกชั้นของบ้านที่แมวชอบไปอยู่ เพื่อลดปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่ายและความเครียด นอกจากนี้ อย่าลืมเปลี่ยนและทำความสะอาดถาดอาหาร น้ำ และกระบะทรายเป็นประจำ เพื่อไม่ให้กลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค

 

  • ดูแลแมวแก่ เรื่องอาหารสำคัญมาก

แมวแก่มักเบื่ออาหารง่ายทำให้น้ำหนักลด และอาจเกิดภาวะขาดสารอาหารได้ เพื่อลดการเกิดปัญหาดังกล่าว ทาสแมวจึงจำเป็นต้องให้อาหารแมวการออกแบบทั้งกลิ่น รสชาติ มีให้เลือกเยอะ ไม่จำเจ เพื่อแก้ปัญหาแมวเบื่ออาหารโดยเฉพาะ พร้อมกันกับมีสารอาหารจำเป็นครบถ้วน ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ตัวอาหารต้องไม่แข็งหรือใหญ่จนเคี้ยวยาก เพื่อให้แมวกินอาหารได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การเลือกอาหารที่ดีจะช่วยให้สุขภาพโดยรวมของแมวดีขึ้นตามไปด้วย เพราะสุขภาพและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ดี ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่แมวกินเข้าไป 

 

สุดท้าย อาหารก็เป็นหนึ่งสิ่งสำคัญในการดูแลแมวแก่ให้มีสุขภาพที่แข็งแรง เลือกอาหารแมวคุณภาพดี อย่าง Buzz Balance Nutrition อาหารแมวเพื่อแมวทุกสายพันธ์ุ ไม่แต่งสี โซเดียมต่ำ ไม่ใส่สารกันบูด อุดมไปด้วยสารอาหารจำเป็น มีให้เลือกหลากหลายรส ช่วยลดปัญหาเบื่ออาหารได้อย่างแน่นอน การดูแลแมวแก่ เป็นเรื่องความรับผิดชอบของผู้เป็นเจ้าของ เราต้องดูแลให้น้องมีความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ทอดทิ้ง อยู่กับเขาไปจนถึงวาระสุดท้าย ถึงแม้ว่าเจ้าเหมียวอาจไม่ได้น่ารัก หรือขี้เล่นเหมือนก่อน แต่เขาก็ยังคงเป็นเจ้าแมวเหมียวลูกรักตัวเดิมของคุณไม่เปลี่ยนแปลง  

 

เคล็บลับเลี้ยง แมวขนยาว ให้ขนสวย

เลี้ยงแมวขนยาว ให้ขนสวยไม่ใช่เรื่องยาก ใครเป็นทาสแมวมือใหม่ เรามีเคล็ดไม่ลับจะมาบอก เพื่อให้เจ้าเหมียวของคุณ มีขนสวย สุขภาพดี น่ากอด

เลี้ยงแมวขนยาว สิ่งสำคัญที่ต้องดูแลเป็นพิเศษก็คือ ขน หากขนยาวนุ่มฟู แต่ขาดการดูแลก็ย่อมทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น ขนพันกันเป็นก้อน ปัญหาขนร่วง โรคผิวหนัง เป็นต้น ด้วยเหตุเหล่านี้ทาสแมวจึงต้องใส่ใจดูแลอย่างสม่ำเสมอ โดยมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ถึงเป็นทาสแมวมือใหม่ก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน

แมวขนยาว

เลี้ยงแมวขนยาว ต้องดูแลขนอย่างไร

1.เลี้ยงแมวขนยาว ต้องเลือกผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ให้เหมาะสม

  • เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงขนที่ได้มาตรฐาน รับรองความปลอดภัย เพื่อลดโอกาสที่จะทำให้เกิดอาการแพ้ แต่ทั้งนี้หากไม่มั่นใจ ก็สามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้
  • หวีแปรงขนแมว สิ่งสำคัญในการเลี้ยงแมวขนยาว หวีแปรงจะมีให้เลือกหลัก ๆ 2 แบบ คือ แปรงหมุด ซี่หวีจะค่อนข้างห่าง เน้นช่วยเรื่องกำจัดขนที่ร่วงออกจากลำตัว และแปรงขนลวด ซี่จะถี่ มีหน้าที่ช่วยสางขนที่พันกันให้หลุดออก

2.อาบน้ำและแปรงขน สิ่งที่ห้ามลืม

  • การอาบน้ำแมวเพื่อกำจัดสิ่งสกปรก สามารถช่วยกำจัดเห็บหมัดได้อีกทาง แต่อย่าอาบบ่อยเกินไป เพราะมันจะกลายเป็นการทำร้ายผิวหนังและขนของแมวแทน โดยเราแนะนำให้อาบ 1 – 2 ครั้ง / เดือน
  • อย่าลืมทำความสะอาดใบหน้า รอบดวงตาที่อาจมีคราบน้ำตาและขี้ตา แนะนำให้ใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชู่ชุบน้ำสะอาดเช็ดอย่างเบามือ 
  • ถ้าขนแมวยาวเกินไป ควรพาไปตัดแต่งขนให้เรียบร้อย 
  • เลี้ยงแมวขนยาว จะต้องแปรงขนให้น้องอย่างน้อยวันละ 15 นาที เพื่อกำจัดขนที่พันกันและขนร่วงให้หลุดออก อีกทั้งยังช่วยเช็กเห็บหมัดที่อาจซ่อนอยู่ได้ด้วย โดยเริ่มแปรงขนจากขนใต้ท้อง ลำตัว ต้นคอ หลังใบหู หน้าอก หางและก้นตามลำดับ 

3.เลี้ยงแมวขนยาว ต้องเลือกอาหารดี ๆ 

ทาสแมวจะต้องเลือกอาหารแมวที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายและเส้นขน อีกทั้งต้องมีกากใยอาหารสูง เพื่อช่วยขับก้อนขนที่อยู่ในทางเดินอาหาร ไม่ให้เกิดการอุดตัน เจ้าเหมียวก็จะมีสุขภาพขนที่ดีขึ้นพร้อมกับการมีร่างกายที่แข็งแรง ซึ่ง Buzz Advanced Nutrition – Hair & Skin เป็นอาหารแมวสูตรเฉพาะสำหรับบำรุงเส้นขนและผิวหนัง อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 6 จากน้ำมันรำข้าว และกรดไขมันโอเมก้า 3 จากน้ำมันปลาแซลมอน พร้อมเพิ่มคอลลาเจน เพื่อช่วยบำรุงสุขภาพผิวหนังและขนให้เงางาม นี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับเจ้าเหมียวที่คุณรัก

เคล็ดไม่ลับเหล่านี้ จะช่วยให้การเลี้ยงแมวขนยาวไม่ใช่เรื่องยาก และรับรองได้ว่าขนเจ้าเหมียวของคุณจะต้องสุขภาพดี ยาวสวย และนุ่มฟูอย่างแน่นอน

 

 

สุนัขกับปัญหา เห็บ หมัด ที่ควรรู้

เห็บหมัด ตัวจิ๋วที่ร้ายไม่ใช่เล่น นอกจากจะทำให้เจ้าตูบคันคะเยอแล้ว มันยังนำพามาซึ่งโรคร้ายที่อาจเป็นภัยถึงชีวิตสุนัขของคุณ ดังนั้นเจ้าของอย่างเราจึงต้องหาทางป้องกันให้ถูกวิธี

เห็บหมัด มาจากไหน ?

เห็บหมัด ผู้ร้ายสองตัวจิ๋วนี้มาอยู่บนตัวสุนัขได้อย่างไร วันนี้เรามีคำตอบ เริ่มที่ หมัด นักวิ่งและนักกระโดดมือทอง ที่มักอาศัยอยู่บนตัวสุนัขโดยการกระโดดจากพื้นดิน พื้นหญ้า หรือสุนัขตัวอื่น แล้วมาผสมพันธุ์ออกลูกออกหลานอยู่บนตัวสุนัขของคุณ ส่วน เห็บ ตัวอ้วนกลม มีวงจรชีวิตแบ่งเป็น 4 ช่วง โดยตัวเมียจะวางไข่จำนวนมากถึง 2,000 – 4,000 ใบ / ครั้ง ตามมุมอับต่าง ๆ เช่น รอยแตกของปูน พื้นบ้าน สนามหญ้า เป็นต้น หลังจากนั้นประมาณ 3 สัปดาห์ ไข่จะฟักเป็นตัวอ่อน มี 6 ขา มันจะพยายามกลับมาอาศัยอยู่บนตัวสุนัขเพื่อดูดเลือด หลังจากนั้น 2 – 3 วัน มันจะลอกคราบเป็นตัวกลางวัยมี 8 ขา และดูดเลือดสุนัขต่อ เพื่อเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยแล้วสืบพันธุ์ต่อไป 

เห็บหมัดจะพบมากในช่วงเดือนเมษายน – สิงหาคม ซึ่งเป็นฤดูร้อนต่อด้วยฤดูฝน มีสภาพอากาศร้อนชื้น เอื้อต่อการเจริญเติบโตและขยายพันธ์ุเป็นอย่างมาก และด้วยลักษณะที่มาของเห็บหมัด จึงไม่แปลกที่สุนัขจะมีเห็บหมัดมาอาศัยอยู่บนตัวได้อย่างง่ายดาย หากเจ้าของไม่ดูแลป้องกัน

เห็บหมัด

อันตรายจาก เห็บหมัด ที่ควรรู้

เห็บหมัดที่อาศัยอยู่บนตัวสุนัข นอกจากจะสร้างความรำคาญและอาการคันให้สุนัขแล้ว สองตัวจิ๋วยังนำพาโรคร้ายมากมายมาเยือนเจ้าตูบอีกด้วย โรคที่พบเจอได่บ่อยมีดังนี้ 

  • โรคภูมิแพ้น้ำลายเห็บหมัด จะมีอาการคัน ผิวหนังแดง อักเสบ และขนร่วง มักพบบริเวณแนวสันหลัง หรือบริเวณที่เห็บหมัดอาศัยอยู่เยอะ ซึ่งโรคนี้จะนำไปสู่โรคผิวหนังอักเสบรุนแรงได้
  • โรคโลหิตจาง เพราะเห็บหมัดจำนวนมากดูดเลือดสุนัข
  • โรคพยาธิเม็ดเลือด เป็นอีกหนึ่งโรคอันตราย มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับชนิดของพยาธิ แต่ล้วนมีพาหะมาจากเห็บหมัดทั้งสิ้น โดยสุนัขมักมีอาการเบื่ออาหาร ไข้สูง เหงือกซีด เกล็ดเลือดต่ำ ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เป็นต้น 
  • พาหะพยาธิ หมัดเป็นพาหะพยาธิตัวตืด ซึ่งจะมาอาศัยอยู่ที่ลำไส้ของสุนัข ทำให้อุจจาระเหลว ภาวะท้องมาน น้ำหนักลด และอาจมีอาการคันที่ก้น

รู้วิธีรับมือ เห็บหมัด ภัยร้ายตัวจิ๋ว

เห็นถึงอันตรายของเห็บหมัดอย่างนี้ คงต้องรีบหาวิธีกำจัดและป้องกันเห็บหมัดกันแล้วใช่ไหมล่ะ ซึ่งเราก็มีวิธีรับมือปัญหานี้มานำเสนอดังนี้ 

  • การกำจัดและป้องกันเห็บหมัดมีหลายรูปแบบ ซึ่งขึ้นอยู่กับสัตวแพทย์ ความสะดวกของเจ้าของ และปริมาณเห็บหมัดในตัวสุนัข โดยวิธีที่นิยมมีทั้งการฉีดยา ให้ยากิน หยดยาหลังคอ ปลอกคอ และการใช้สเปรย์หรือแป้งกำจัดเห็บหมัด โดยแต่ละวิธีจำเป็นต้องทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
  • หากสุนัขมีความผิดปกติ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย เพื่อให้สามารถทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที
  • จำกัดพื้นที่ หรือทุกครั้งที่พาสุนัขออกนอกบ้าน คุณอาจจะต้องพ่นสเปรย์ป้องกัน เพื่อลดโอกาสที่เห็บหมัดจะเกาะติดตัวสุนัขมา
  • อาบน้ำสุนัขเป็นประจำ อย่างน้อย 1 – 2 ครั้ง / เดือน โดยใช้น้ำยาหรือแชมพูที่ช่วยกำจัดเห็บหมัด
  • ทำความสะอาดที่อยู่อาศัยของสุนัขเป็นประจำ โดยใช้น้ำยาที่สามารถกำจัดเห็บหมัดได้

ด้วยวิธีเหล่านี้ เห็บหมัด ตัวจ่อยจะไม่กล้ามาเกาะเจ้าตูบของคุณอย่างแน่นอน

เห็บหมัด เป็นหนึ่งปัญหาสุขภาพที่เจ้าของต้องดูแล แต่เพื่อให้ร่างกายของสุนัขสมบูรณ์แข็งแรง การดูแลสุขภาพจากภายในก็เป็นสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ ด้วยการเลือกอาหารสุนัขที่ดี มีสารอาหารครบถ้วน อย่าง Buzz Healthy Life ที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และป้องกันการเกิดโรค เพื่อให้เจ้าตูบของคุณแข็งแรง ร่าเริง พร้อมเติบโตอย่างสมวัย

 

 

มือใหม่ อยากเลี้ยงแมว ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

อยากเลี้ยงแมว แต่เป็นมือใหม่ต้องเตรียมอะไรบ้าง? การจะรับสัตว์ซักตัวมาเลี้ยงไว้ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน พันธุ์อะไร การเตรียมตัวทั้งในเรื่องปัจจัย 4, อุปกรณ์ในการเลี้ยงเขาล้วนเป็นสิ่งจำเป็นด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งกับเจ้าแมวเมี้ยวที่ธรรมชาติของเขา นิสัยเฉพาะตัวของเขามีความเป็นตัวเองสูง ต้องได้รับการดูแลใส่ใจจากเจ้าของมากเป็นพิเศษ ดังนั้นใครที่กำลังจะสมัครเข้าชมรมทาสแมวคนจึงจำเป็นจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งกายใจ ทั้งอุปกรณ์ และกำลังทรัพย์ แต่จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง วันนี้ Buzz Pets มีข้อมูล รวมไปถึงเคล็ดลับในการเตรียมตัว เลือกซื้อของมาฝาก 

 

บ้านต้องเป็น safe zone ให้น้องแมว 

เรื่องสำคัญของคนอยากเลี้ยงแมวต้องรู้ ไม่ว่าบ้านของคุณจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน แต่คุณต้องมีพื้นที่ส่วนตัวให้น้องแมวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยคุณต้องทำให้ที่จุดนั้นกลายเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย อยู่แล้วอุ่นใจ มีน้ำดื่ม มีที่นอนที่เป็นส่วนตัวในน้องแมว (ในกรณีรับลูกแมวมาเลี้ยง แนะนำให้ใช้เสื้อผ้าเก่า ๆ ของเราปูลงไปบนที่นอน กลิ่นอ่อน ๆ ของเราจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัย กล้าหลับได้อย่างเต็มตามากขึ้น) หากต้องการให้แมวสุขภาพดี แข็งแรง ไม่ต้องกังวลเรื่องจะติดโรคจากที่ไหน ไม่หนีหาย อยู่ในสายตาเราตลอดเวลาแนะนำให้เลี้ยงแมวแบบระบบปิดตั้งแต่เริ่มนำน้องเข้ามาในบ้าน สถานที่เลี้ยงจึงควรปิด ไม่ที่ช่อง หรือเปิดโล่งให้น้องแมวออกไปหนีเที่ยวได้ 

นอกจากนี้ ขั้นตอนการย้ายน้องเข้ามาในบ้าน คุณควรเตรียมตะกร้าใส่น้องแมวให้เรียบร้อย ด้วยธรรมชาติของลูกแมวจะขี้กลัว ขี้ตกใจเป็นปกติ ดังนั้นตะกร้า – กระเป๋าที่ใช้ขนย้ายน้องทั้งตอนนำเข้าบ้าน พาไปหาสัตว์แพทย์ หรือพาไปสถานที่ใหม่ ๆ จึงควรมิดชิด ระบายอากาศ และกว้างพอที่จะให้แมวยืน หมุนตัวได้ แนะนำให้ซื้อเผื่อน้องโตไปเลย ไม่ควรเปลี่ยนปล่อย ๆ เพราะการใช้ตะกร้าเดิมจะทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัยมากกว่า 

อยากเลี้ยงแมว

 

อุปกรณ์ขาดไม่ได้ สำหรับเจ้าเหมียว 

นิสัยการขับถ่ายของแมว ธรรมชาติบางอย่างของเขาเป็นสิ่งที่มือใหม่อยากเลี้ยงแมวจำเป็นต้องรู้ ต้องซัพพอร์ตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เริ่มจาก 

ห้องน้ำน้องแมว : สิ่งสำคัญที่คนอยากเลี้ยงแมวต้องทำความเข้าใจ คือสัตว์ประเภทนี้รักสะอาดมาก จะถ่ายหนักถ่ายเบาเฉพาะที่เดิม ๆ เท่านั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าทาสที่จะต้องเตรียมกระบะทรายไว้ในที่ที่เงียบ สงบเอาไว้ให้น้อง เปรียบเสมือนห้องน้ำในการขับถ่าย กระบะทรายควรมีความลึกพอสมควรเผื่อไว้ให้น้องแมวขุด กระตุยทรายเพื่อกลบของเสียของตัวเอง ควรเลือกใช้ทรายแมวให้มีคุณภาพสูงเข้าไว้ เปลี่ยนบ่อย ๆ จะสามารถกลบกลิ่นอึ กลิ่นฉี่แรง ๆ ของเจ้าเหมียวได้ บ้านสะอาด ไร้กลิ่นกวนใจ ถูกสุขลักษณะแน่นอน 

เสาข่วนเล็บแมว ของเล่นเตรียมให้พร้อม : เลือดนักล่าของเจ้าแมวตัวแสบเป็นสัญชาติญาณที่ทาสแมวมือใหม่ต้องรู้ (และเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี) แมวมักจะต้องลับเล็บเพื่อให้คมเอาไว้ป้องกันตัว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยลอกแผ่นเล็บที่ตายแล้ว อีกทั้งยังเป็นการแสดงอาณาเขตผ่านการปล่อยกลิ่นระหว่างข่วนอีกด้วย ดังนั้นถ้าไม่อยากให้บ้านพัง เฟอร์นิเจอร์เละคามือเจ้าตัวแสบ ควรหาเสา – อุปกรณ์สำหรับลับเล็บแมวให้พร้อมช่วยได้แน่นอน แต่ไม่จบแค่นี้ สัญชาติญาณนักล่าของแมวยังมีผลมาถึงการเล่นของเขา โดยเฉพาะลูกแมวที่อาจจะยังยั้งแรงไม่เป็น เปิด/ปิดเล็บตัวเองไม่เป็นจนอาจจะทำให้เจ้าทาสทั้งหลายบาดเจ็บได้ การใช้ของเล่นให้น้องได้ตบ ได้งับแทนมือของเราจะช่วยลดการบาดเจ็บนี้ลงได้ แถมยังกระตุ้นแมวให้ได้ออกกำลังกายผ่านการเล่นสนุกกับคุณอีกด้วย 

อุปกรณ์ทำความสะอาด : มือใหม่อยากเลี้ยงแมวอาจจะยังไม่รู้ฤทธิ์เวลาเจ้าเหมียวโดนจับอาบน้ำ ถึงแม้ว่าแมวจะทำความสะอาดตัวเองเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีผลถึงขนาดสามารถกำจัดกลิ่น ฝุ่น ความสะอาดได้อย่างทั่วถึง หากคุณคิดที่จะอาบน้ำให้เขาเป็นประจำ หลังจากน้องอายุครบ 2 เดือน ควรฝึกให้เขาชินกับการอาบน้ำตั้งแต่เด็ก อุปกรณ์สำหรับอาบน้ำ ทำความสะอาดแมวจะมีดังนี้ 

  • อ่างอาบน้ำ / กะละมังสำหรับแมว 
  • แชมพูสำหรับอาบน้ำแมว 
  • ถุงอาบน้ำแมว / เสื้อผ้าเก่า ๆ เพื่อป้องกันน้องแมวฝากรอยขีดข่วน 
  • ผ้าเช็ดตัวแมว หลังจากอาบน้ำเสร็จ 
  • ไดร์เป่า หวีแปรง 

ก่อนจะอาบน้ำให้แมวทุกครั้ง อย่าลืมดูความพร้อมของเจ้าตัวก่อน มีอาการป่วยหรือเปล่า พร้อมที่จะอาบน้ำหรือไม่ น้ำที่ใช้เย็นไปร้อนไปหรือไม่ ถ้าหากเจ้าเหมียวดื้อมากรับมือไม่ไหว การส่งต่อให้ร้านอาบน้ำตัดขนสัตว์น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า (จากประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่เขามีมากกว่าเรา) 

อาหาร คือสิ่งที่ส่งผลต่อสุขภาพปัจจุบันและอนาคต 

อาหารที่น้องแมวกินอยู่ทุกวันนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่จะสามารถทำให้น้องมีสุขภาพร่างกายที่ดีได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทั้งในแง่ของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ความแข็งแรง ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย อารมณ์ สุขภาพขนผิวหนัง ดังนั้นการเลือกอาหารแมวคุณภาพสูง ผ่านการคัดเลือกวัตถุดิบอย่างดีแบบ Human Grade มีการคำนวณคุณค่าทางโภชนาการอย่างแม่นยำและเหมาะสมกับแมวมากที่สุดตั้งแต่เริ่มต้นเลี้ยง จะเป็นการปูพื้นฐานสุขภาพแมวเหมียวให้แข็งแรง ร่าเริง โอกาสเจ็บป่วยน้อยมากหากเทียบกับน้องแมวที่ไม่ได้ดูแลเรื่องอาหาร เพราะร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์มาตลอด 

 

เพื่อให้น้องแมวที่กำลังจะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านแบบเต็มตัว มีสุขภาพแข็งแรง เล่นสนุกได้สมวัย แนะนำอาหารแมวพรีเมียมจาก Buzz Pets มีหลายสูตรให้เลือกตามความเหมาะสมกับแมวแต่ละแบบ คิดค้นพิเศษสำหรับความต้องการด้านสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง ตั้งแต่สูตรปกติ สูตรน้องแมวที่มีน้ำหนักน้อยเกินมาตรฐาน สูตรเน้นการบำรุงเส้นขนผิวหนังโดยเฉพาะ สูตรสำหรับแมวที่เลี้ยงในบ้าน ลดความเสี่ยงการสะสมของเส้นขน รวมไปถึงสูตรสำหรับลูกแมวและแม่แมวที่กำลังตั้งครรภ์ ผลิตภัณฑ์ไม่มีการแต่งกลิ่น แต่งสี ผลิตโดยกรรมวิธีที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงอย่างแน่นอน 

การเลี้ยงลูกแมว สำหรับทาสแมวมือใหม่ต้องใส่ใจอะไรบ้าง

การเลี้ยงลูกแมว สำหรับทาสแมวมือใหม่แล้วนั้นต้องเตรียมข้อมูลและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเลี้ยงลูกแมว เพราะการเลี้ยงลูกแมวไม่ใช่เพียงแค่การเอาน้องแมวเหมียวมาอยู่กับเราเท่านั้น แต่เรายังต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ก่อนเลี้ยงตลอดจนเมื่อรับน้องมาอยู่ด้วย แล้วแบบนี้จะมีอะไรที่เราต้องใส่ใจบ้าง เริ่มจากอะไรดี มาหาคำตอบไปพร้อมกันเลยค่ะ

 

การเลือกน้องแมว

  • เลือกพันธ์ุไหนดี ?

แมวสายพันธุ์แท้อาจมีราคาแรงตั้งแต่หลักหมื่นขึ้นไป หากไหวก็ลุยเลย! ทั้งนี้สิ่งสำคัญคืออย่าลืมเอกสารสำคัญที่บ่งชี้ว่าแมวของคุณเป็นแมวสายพันธุ์แท้ที่มีสุขภาพดี หรือจะลองรับลูกแมวจากสถานสงเคราะห์สัตว์ต่าง ๆ มาเลี้ยงก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายถ้าเรามีใจรักมากพอ ถือเป็นการช่วยให้ลูกแมวเหมียวได้มีบ้านใหม่ที่อบอุ่นและรายล้อมไปด้วยความรักค่ะ

  • ขนยาวหรือขนสั้น ?

ขนยาว : เหมาะกับผู้ที่มีเวลาดูแลน้องแมว เพราะต้องได้รับการดูแลขนทุกวันเพื่อให้ขนดูดีและไม่พันกันยุ่งเหยิง

ขนสั้น : เหมาะกับทาสแมวมือใหม่ เพราะไม่ต้องดูแลมากเท่าพันธุ์ขนยาว เพราะเจ้าแมวน้อยสามารถดูแลและทำความสะอาดขนเองได้ง่ายกว่า

  • ตัวผู้หรือตัวเมีย ?

ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนค่ะ แต่ถ้าต้องการเลี้ยงน้องแมวสองตัวไม่ว่าจะเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม ก็ควรพาไปทำหมันก่อนที่จะเจริญพันธุ์นะคะเพราะการทำหมันจะส่งผลให้น้องแมวของเรามีนิสัยคล้ายกันมากขึ้นค่ะ ทำให้เลี้ยงเขาง่ายขึ้นเยอะเลยละค่ะ

 

ทั้งนี้ควรเลือกซื้อลูกแมวจากฟาร์มที่มีประวัติน่าเชื่อถือหรือมีใบรับรอง น่าไว้ใจค่ะ หรือจะไปเลือกดูลูกแมวที่ฟาร์มเลยก็ได้ เพื่อที่จะได้ดูการจัดการ การดูแลเอาใจใส่รวมถึงความสะอาดภายในฟาร์ม เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจซื้อลูกแมวได้ง่ายขึ้นค่ะ

การเลี้ยงน้องแมว

ก่อนจะพาน้องแมวเข้าบ้าน ต้องทำอะไรบ้าง

  • เลือกห้องให้น้องอยู่

ควรจะจัดสรรพื้นที่ให้ชัดเจน และห้องนั้นควรมีประตูหรือมีอะไรมากั้นไม่ให้ลูกแมวออกไปเที่ยวข้างนอก ควรเลือกห้องที่น้องแมวสามารถปีนป่ายหรือขึ้นที่สูงได้ง่ายเพื่อเป็นการฝึกความแข็งแรงไปในตัวและคุ้นเคยกับบ้านใหม่ได้ไวขึ้น

  • ชามอาหารและน้ำ

วางชามอาหารและน้ำไว้ให้ห่างจากกระบะทรายให้มากที่สุด เลือกใช้ชามก้นตื้นป้องกันปัญหาหนวดติดขอบชาม

  • กระบะทราย

ลูกแมวก็เหมือนเรานี่แหละค่ะ เวลาใช้ห้องน้ำก็ต้องการความสงบ จึงควรวางกระบะทรายไว้ที่บริเวณมุมห้องตรงข้ามประตู ที่สำคัญอย่าลืมเตรียมถาดรองและที่โกยไว้ด้วยนะคะ

  • การปรับตัวของลูกแมว

เมื่อรับน้องเข้ามาอยู่บ้านใหม่ ๆ น้องแมวของเราก็จะกลายเป็นนักสำรวจทันทีแต่ก็จะขี้อายไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นช่วงแรกจะต้องเงียบกันสักเล็กน้อย และควรรอให้ลูกแมวเหมียวกล้าเข้ามาหาเราเอง มากกว่าที่เราจะเอาแต่เดินเข้าไปหาอยู่เสมอ เมื่อผ่านไปสักระค่อยพยายามทำให้ลูกแมวเหมียวคุ้นเคยกับการถูกอุ้มขึ้นมา

การเลี้ยงลูกแมว

 

การดูแลสุขภาพน้องแมว

  • การทำความสะอาดลูกแมว

สำหรับลูกแมวที่ยังเป็นเด็กน้อยอยู่ยังไม่ควรอาบน้ำ แต่ให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวให้กับลูกแมวอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ส่วนการเริ่มอาบน้ำให้ลูกแมวนั้นควรเริ่มอาบได้ตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป เอาไดร์เป่าผมอุ่น ๆ เป่าขนให้แห้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ขนชื้น หรือเป็นเชื้อราได้ค่ะ และควรฝึกตัดเล็บ เช็ดหู ไว้ด้วยจะได้ไม่ดื้อเมื่อเริ่มโตขึ้น

  • การเปลี่ยนอาหารให้ลูกแมว

ลูกแมวจะเริ่มหย่านมในช่วง 6 – 8 สัปดาห์ ในช่วงนี้ควรให้อาหารแบบเม็ดหรืออาหารเปียกสำหรับลูกแมว ในหนึ่งวันควรให้อาหาร 3-4 มื้อ และควรหมั่นเปลี่ยนน้ำให้สะอาดไว้ตลอดเวลา

  • ฝึกการขับถ่าย

หากเป็นลูกแมวที่อยู่ในช่วงป้อนนม ควรใช้สำลีชุบกับน้ำอุ่นเช็ดไปที่ก้น โดยลูกแมวจะเริ่มมีการเกร็งตัวสักพักจะเริ่มขับถ่ายออกมา และเมื่อลูกแมวเริ่มเดินได้ ควรหากระบะทรายมาวางไว้ เพื่อฝึกให้ลูกแมวขับถ่ายให้เป็นที่ตั้งแต่เด็ก ๆ

  • การฉีดวัคซีน

เมื่อลูกแมวอายุครบ 6 สัปดาห์ ควรพาไปตรวจสุขภาพและเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกเมื่ออายุครบ 2 เดือน ทั้งนี้ควรฉีดวัคซีนตามโปรแกรมที่สัตวแพทย์แนะนำเพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกแมวของเรา

 

การเลี้ยงลูกแมวในช่วงแรกอาจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างมาก ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือความรับผิดชอบและความเอาใจใส่ของเราที่ต้องมีเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ลูกแมวที่เราเลี้ยงนั้นได้รับความรักและการดูแลอย่างอบอุ่น และเติบโตเป็นแมวที่แข็งแรง สุขภาพดีค่ะ สำหรับบทความหน้าจะมีอะไรมาแนะนำอีก ต้องอย่าลืมติดตามกันนะคะ

อาหารสุนัข Netura High-quality meat / Grain-free เลือกอย่างไรให้ถูกใจน้องหมา

อาหารสุนัข จะเลือกซื้อทั้งที ก็ต้องอยากให้อาหารเหล่านี้ถูกใจสุนัขในบ้านเป็นธรรมดา แต่จะดีกว่าไหม? หากอาหารสุนัขที่คุณเลือกให้กับเจ้าตัวแสบแสนซื่อสัตย์ของคุณสามารถทำให้เขารู้สึกอร่อยถูกใจ มีความสุขทุกครั้งที่กินอาหารไปพร้อม ๆ กันกับโภชนาการที่ครบถ้วนแม่นยำ เสริมสร้างความแข็งแรงสุขภาพที่ดีให้น้องหมาได้อย่างตอบโจทย์ วันนี้ Buzz Pets food อาหารสุนัขพรีเมียม มีเคล็ดลับดี ๆ ในการเลือกอาหารอย่างไร ให้ถูกใจน้องหมามาฝากค่ะ

อาหารสุนัข

อาหารสุนัข Netura High-quality meat / Grain-free คืออะไร? 

อาหารสุนัข Buzz Pets food สูตร Netura High-quality meat / Grain-free เป็นอาหารสุนัขที่ผลิตและนำเข้าจากประเทศเบลเยี่ยม มีความโดดเด่นในเรื่องการใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง เป็นเกรดโฮลิสติกที่ถูกคัดสรรอย่างดี ตั้งแต่การใช้แหล่งโปรตีนแท้จากธรรมชาติ เลือกผักผลไม้ที่เน้นวิตามินสูง อัดแน่นไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ปราศจากธัญพืช ช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องการเกิดภูมิแพ้ หรืออาการแพ้อาหารของน้องหมา ผ่านการคิดค้นเพื่อให้ได้สูตรเฉพาะที่เหมาะสมแต่ละสายพันธุ์ ขนาด มีทั้งหมด 2 สูตรด้วยกัน คือ 

  1. Buzz Netura – สูตรเนื้อปลาแซลมอน สำหรับสุนัขโตพันธุ์เล็ก
  2. Buzz Netura – สูตรเนื้อปลาแซลมอน สำหรับสุนัขโตพันธุ์กลาง-ใหญ่

ซึ่งจะตัดสินใจเลือกสูตรไหนแบบใดให้ที่น้องหมาที่บ้าน ก็เป็นหน้าที่ของคุณเจ้าของแล้วที่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับสุนัขแต่ละสายพันธุ์ สัมพันธุ์กับอายุ และขนาดของสุนัขเอง เพื่อให้เขาได้รับสารอาหารและโภชนาการที่ครบถ้วน เติมเต็มสารอาหารทำให้น้องหมาสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรงสมส่วนมากที่สุด

 

อาหารสุนัข

น้องหมาจะอร่อยได้โภชนาการครบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบ 

ไม่ว่าจะเรื่องของกลิ่น สี ที่ทำให้สุนัขเจริญอาหาร รู้สึก Enjoy ทุกครั้งที่ได้กินอาหาร ไม่มีทีท่าว่าจะเบื่ออาหาร หรือฝั่งโภชนาการภายในอาหารมีความแม่นยำคุณประโยชน์สูงถูกใจเจ้าของสุนัข มีการคำนวณมาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับพันธุ์ ขนาดของสุนัข ทั้ง 2 อย่างนี้จะเป็นอย่างไรสิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับส่วนประกอบที่ถูกคัดสรรอย่างละเอียด พิถีพิถันทุกขั้นตอน สำหรับอาหารสุนัข สูตร Netura High-quality meat / Grain-free สามารถแบ่งสัดส่วนของส่วนประกอบได้เป็น 

– ส่วนผสมจากปลาแซลมอนแอตแลนติก (จับจากธรรมชาติ) 45% 

– คาร์โบไฮเดรตจากมันฝรั่งมันเทศ และถั่ว Peas 35% 

– ผลไม้ ผัก วิตามินและแร่ธาตุ 20% 

โดยสัดส่วนของโปรตีน ไขมัน ไฟเบอร์ แคลเซียม และสารอาหารอื่น ๆ จะถูกปรับเพิ่ม – ลดอย่างเหมาะสมให้ตรงกับโภชนาการตามสูตรสำหรับสุนัขพันธุ์เล็ก และสุนัขพันธุ์กลางถึงใหญ่ที่ควรได้รับ ผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะไม่มีส่วนผสมของไก่ หรือสัตว์ปีกเป็นส่วนประกอบ ไม่มีส่วนผสมของข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลืองเหมือนกับอาหารสุนัขทั่วไป ช่วยลดอาการแพ้อาหารที่เกิดขึ้นบ่อยในน้องหมา ไม่มีการแต่งกลิ่น แต่งสี แต่จะใช้กรรมวิธีในการผลิตเฉพาะจาก Buzz Pets food จึงทำให้ทั้งกลิ่นและรสชาติอยู่ครบถ้วนกระตุ้นความอยากอาหารให้น้องหมาเจริญอาหารขึ้นได้อีกหนึ่งขั้น ที่สำคัญเพราะอาหารสูตรนี้เป็นสูตรที่ผลิตจากปลา จึงช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับสุนัขที่น้ำหนักเยอะ อ้วนกลมเกินเกณฑ์ อยากควบคุมน้ำหนักให้กลับมามีร่างกายที่สมส่วนสุขภาพดี สามารถวิ่งเล่นสนุกได้อย่างคล่องตัว 

 

เพราะสุขภาพในอนาคตของน้องหมาจะเป็นอย่างไร สาเหตุส่วนใหญ่มาจากอาหารการกินทั้งนั้น การดูแลเขาให้ดีที่สุดด้วยอาหารสุนัขคุณภาพสูงอย่าง Buzz Pets food สูตร Netura High-quality meat / Grain-free เกรดโฮลิสติก อาหารสุนัขที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ คัดสรร และพิถีพิถันทุกขั้นตอนจนได้สิ่งที่ดีต่อสุขภาพน้องหมา จะทำให้พวกเขาสดใสร่าเริง มีพลังงานเหลือล้นพร้อมเล่นสนุกกับคุณได้อย่างแข็งแรงสมวัยอย่างแน่นอน 

อยากเลี้ยง หมาใหญ่ อะไรที่ควรรู้

หมาใหญ่ เห็นทีไรก็อยากเลี้ยงทุกที เชื่อเลยว่าใครที่รักสุนัขเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเกิน 90% ต้องเคยโดนตกจากความตัวใหญ่น่าฟัดเหมือนหมี น่ารักใจดีระดับสิบของเจ้าพวกนี้อย่างแน่นอน แถมจะกอดจะเล่นแค่ไหนก็สู้มือ พลังงานเหลือล้นมีมากพอที่จะเล่นกับเราได้ทั้งวัน และเพราะความใหญ่โตของเขาเนี่ยละ จึงทำให้การเลี้ยงดูน้องหมาตัวใหญ่ค่อนข้างแตกต่าง มีข้อจำกัด และต้องใส่ใจมากกว่าสุนัขไซซ์เล็กพอสมควร ผู้เลี้ยงหรือคนที่กำลังมีโครงการว่าจะรับน้องหมาพันธุ์กลาง – ใหญ่มาเลี้ยงจึงจำเป็นจะต้องเรียนรู้ ศึกษา และเช็กความพร้อมของตัวเองเสียก่อน

 

หมาใหญ่

 

พันธุ์ ลักษณะนิสัย เรารับมือไหวไหม? 

น้องหมาใหญ่มีให้เลือกหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ไม่ได้แตกต่างกันแค่ลักษณะภายนอก หรือราคาค่าตัวของน้องเท่านั้น แต่เรื่องของลักษณะนิสัย ความฉลาดเชื่อฟัง พละกำลัง รวมไปถึงสิ่งที่ควรดูแล ระมัดระวังมากเป็นพิเศษ โรคภัยไข้เจ็บ อาการป่วยของน้องหมาที่มีโอกาสเป็นง่ายก็มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

ยกตัวอย่างเช่น โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ หมาตัวใหญ่ขนสีทองเป็นมิตรกับทุกคนที่เข้าหา เป็นสุนัขที่ค่อนข้างฉลาด ซื่อสัตย์ และติดคนมาก ต้องการความรัก ความเอาใจใส่สูง ไม่ชอบโดนทิ้งให้อยู่ลำพัง โกลเด้นเป็นสุนัขที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อสะโพกอักเสบง่าย เจ้าของจำเป็นต้องพาน้องออกกำลังกายบ่อย ๆ เพื่อให้กระดูก ไขข้อ และกล้ามเนื้อขาหลังแข็งแรง (การออกกำลังกายสามารถลดความเครียดให้สุนัขได้ด้วย) นอกจากนี้เมื่อสุนัขเริ่มอายุมากขึ้น มักจะมีปัญหาของโรคไขข้อสะโพกอักเสบ โรคเกี่ยวกับตา และโรคไต เจ้าของจำเป็นต้องระวังเรื่องนี้ไว้ให้มาก ๆ 

 

ที่อยู่อาศัย สถานที่เลี้ยง 

แน่นอนว่าการเลี้ยงน้องหมาตัวใหญ่ พื้นที่ในการเลี้ยงดูเขายอมต้องเยอะตามเป็นธรรมดา ยิ่งกับสุนัขบางพันธุ์ที่มีพลังการทำลายล้างสูง แรงเยอะ เป็นสุนัขที่ต้องออกกำลังกายเป็นประจำ สถานที่เลี้ยงยิ่งจำเป็นต้องมี Space เป็นบ้านที่ต้องมีบริเวณเพื่อซัพพอร์ตธรรมชาติของเขา มีที่ให้วิ่งได้ เล่นได้ มีรั้วรอบขอบชิดเพื่อไม่ให้สุนัขไปรบกวนเพื่อนบ้านคนอื่น ทำให้การตัดสินใจจะรับหมาใหญ่ซักตัวเข้ามาในบ้าน นอกจากการศึกษาสายพันธุ์ นิสัยให้ดีแล้ว เรื่องของที่อยู่อาศัย สถานที่เลี้ยงว่ามีความเหมาะสมกับสุนัขพันธุ์ที่คุณอยากเลี้ยงหรือเปล่าถือเป็น 1 ใน ปัจจัยสำคัญ ที่จะเป็นตัวกำหนดได้ทันทีว่าคุณพร้อมที่จะเลี้ยงน้องหมาใหญ่หรือไม่ เพราะเรื่องนี้มีโอกาสส่งผลไปถึงสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตของสุนัขในอนาคตเลยทีเดียว

หมาใหญ่

 

อาหารที่ได้รับในแต่ละวัน 

“อาหาร” นับเป็นเรื่องใหญ่ที่จะกลายเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของน้องหมาได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ความพิเศษที่ทำให้การให้อาหารของน้องหมาใหญ่แตกต่างจากพันธุ์อื่นคือ ปริมาณอาหารที่ให้จะเยอะตามขนาดตัว โภชนาการต้องครบถ้วนแม่นยำเพื่อให้เพียงพอเหมาะสมกับร่างกายสุนัขพันธุ์กลาง พันธุ์ใหญ่ในแต่ละวัน (จุดนี้ผู้เลี้ยงต้องระวัง การปริมาณอาหารไม่ควรให้น้อยไป หรือมากไป ควรอยู่ในปริมาณที่พอดีเพื่อให้น้องสมควร) ส่วนประกอบของอาหารจะเน้นไปทางโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ดูแลในเรื่องการให้พลังงาน บำรุงกระดูก ไขข้อ ฟันให้แข็งแรงสมบูรณ์ มีโอเมก้า 3 และ 6 ช่วยดูแลผิวหนัง บำรุงขนให้สวยเงางาม การเลือกอาหารสุนัขสำหรับสุนัขพันธุ์กลางและใหญ่จึงจำเป็นต้องเลือกให้ดี ทั้งในแง่ของวัตถุดิบว่ามีการใช้โปรตีนประเภทใดเป็นส่วนประกอบ ขนาดเม็ดอาหาร กลิ่น รสชาติที่ทำให้น้องหมาโปรดปราน และความแม่นยำของโภชนาการที่สามารถมอบให้สุนัขได้อย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับสายพันธุ์ของเขา 

แนะนำ Buzz Healthy Joints Formula อาหารสุนัขสูตรบำรุงข้อกระดูก ผลิตและนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย สำหรับสูตรนี้จะมีส่วนผสมของกลูโคซามีน ช่วยบำรุงข้อต่อและกระดูกโดยเฉพาะ ป้องกันความผิดปกติที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับกระดูก ชะลอการเสียดสีของกระดูกอ่อนในข้อต่อ ดูแลให้น้องหมาตัวโตของคุณสามารถวิ่งสนุก ร่าเริงอยู่กับคุณได้ยาว ๆ ลดความเสี่ยงโรคข้อกระดูกเสื่อม โรคยอดฮิตของหมาใหญ่ที่มักจะเจอเวลาที่พวกเขาอายุเยอะขึ้น 

หรือหากใครมีน้องหมาตัวใหญ่อยู่แล้วแต่น้องตัวอ้วนกลมเกินไป ไม่ใช่เรื่องดีต่อสุนัขแน่นอน แนะนำอาหารสุนัข Buzz Netura สูตรเนื้อปลาแซลมอน ผลิตและนำเข้าจากประเทศเบลเยี่ยม เน้นการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติที่ดีที่สุดผ่านการคิดค้นเพื่อให้เหมาะกับน้องหมาตัวใหญ่โดยเฉพาะ ทั้งขนาดเม็ดอาหาร โภชนาการที่ตอบโจทย์ คอยดูแลเขาทั้งในเรื่องพลังงานอย่างเหมาะสม เล่นสนุกสมวัยได้ทั้งวัน 

 

เพราะการที่เราจะรับสมาชิกใหม่เข้าบ้านมาซักหนึ่งตัว นั้นหมายความว่าเราต้องรับผิดชอบชีวิตน้อง ๆ เหล่านี้ไปตลอดอายุขัยของเขา การศึกษาข้อมูล การเตรียมความพร้อมก่อนเลี้ยงสุนัข โดยเฉพาะหมาใหญ่ที่มีข้อจำกัดในหลาย ๆ อย่างทั้งเรื่องสถานที่ งบ เวลาที่คุณต้องมีมากพอในการพาเขาไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ต้องคิดไปถึงอนาคต เมื่อน้องหมาเริ่มอายุเยอะ เวลาเจ็บป่วยคุณสามารถคุณสามารถขนย้าย หรือพาเขาไปพบสัตวแพทย์ได้ทันทีหรือไม่ แต่เชื่อเถอะว่าปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หากได้เจอกับความน่ารักสดใส ความซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ของน้องหมาที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตประจำวันของคุณอย่างแน่นอน  

รู้จัก หวัดแมว เพราะแมวก็ป่วยได้

น้องแมวเป็นหวัดหรือที่เรียกว่า หวัดแมว อาจติดต่อกันในหมู่แมวได้ ยิ่งบ้านไหนที่มีน้อง ๆ หลายตัวแล้วละก็ ยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ดังนั้นการรู้ทันโรคหวัดแมวถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทาสแมวจะต้องรู้จักสังเกตเพื่อจะได้ป้องกันและรับมือให้เจ้านายของเหล่าทาสปลอดภัยจากหวัดแมว

 

หวัดแมว (Cat Flu) คืออะไร 

หวัดแมว (Cat Flu) คือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ มีอาการคล้ายเป็นหวัด มักเกิดในที่ ๆ เลี้ยงแมวรวมกันจำนวนมาก ๆ อย่างบ้านใครที่เลี้ยงแมวเยอะ ๆ หรืออยู่ในชุมชนแออัดแล้วน้องแมวชอบแอบหนีไปประชุมลับกันบ่อย ๆ น้องแมวของเราก็ยิ่งมีโอกาสที่จะติดหวัดแมวมาจากแมวตัวอื่น หรือเป็นหวัดแมวได้ง่ายมากขึ้น โดยหวัดแมว เกิดจากเชื้อไวรัสสำคัญหลัก ๆ 2 ชนิดคือไวรัสแคลิซี (Calici virus) และไวรัสเฮอร์ปี (Herpes virus) 

ซึ่งในแมวที่เคยติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปี (Herpes virus) หลังจากหายแล้วจะกลายเป็นพาหะตลอดชีวิต ช่วงไหนที่เจ้านายของเราเครียดมาก ๆ ก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นหวัดแมวซ้ำได้ง่าย ๆ  และถ้าหากแมวติดไวรัสแคลิซี (Calici virus) หลังจากหายหวัดแมวไปแล้ว ก็จะมีการแพร่เชื้อสู่สิ่งแวดล้อมได้อีกราว ๆ 2 อาทิตย์ – 1 เดือน แต่บางครั้งอาจยาวนานถึง 2 – 3 เดือน โดยแมวที่ได้รับเชื้อจะมีอาการอักเสบที่ตา โพรงจมูก หลอดลม หรือภายในช่องปากได้ 

 

วิธีสังเกตเบื้องต้นว่าน้องแมวเป็นหวัดแมวอยู่หรือเปล่า

  1. น้องแมวขยิบตาทั้งวัน อีกทั้งยังมีเปลือกตาบวมแดง มองแล้วดูเหมือนตาจะปิด อีกอาการคือมีขี้ตาเกรอะ เป็นก้อนเห็นได้ชัด
  2. น้องแมวมีกลิ่นปาก ปากเหม็น เหงือกแดงจนผิดสังเกต หรือมีน้ำลายไหลยืดตลอดวัน
  3. ปากและลิ้น มักจะเป็นแผลหลุมที่ปาก ลิ้น เพดาน ริมฝีปากหรืออาจจะลามมาที่ปลายจมูกได้
  4. น้องแมวไอและจามฮัดเช่ย ๆ อยู่บ่อย มีน้ำมูกไหล ทำเสียงฟึดฟัดทั้งวัน
  5. เบื่ออาหาร ไม่อยากกินอะไร
  6. มีอาการซึมผิดปกติ

หวัดแมว

ดูแลยังไงเมื่อน้องแมวเป็นหวัด

  1. แยกตัวที่ป่วยกับตัวอื่น ๆ ในบ้าน เพื่อป้องกันการติดต่อ
  2. ปรับอาหาร เพื่อช่วยให้กินอาหารได้ดีขึ้น
  3. แยกชามน้ำ ชามอาหาร เพราะการกินชามเดียวกันมักจะติดผ่านน้ำลาย หรือแม้แต่ของเล่นที่เจ้าเหมียวใช้ร่วมกัน
  4. เช็ดทำความสะอาดตาและจมูก เพื่อให้แมวหายใจสะดวกและรู้สึกสบายตัว
  5. ฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนตามโปรแกรม (แมวต้องมีอายุตั้งแต่ 2 เดือนเป็นต้นไป)

 

ดังนั้นถ้าอยากให้น้องแมวหรือเจ้านายของเหล่าทาสมีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากหวัดแมวแล้วก็ต้องให้ความสำคัญครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น สภาพแวดล้อม สุขภาพร่างกาย หรือแม้กระทั่งอาหารการกินก็ตาม ดังนั้นควรเลือกอาหารให้ครบถ้วนและสมดุลทางโภชนาการด้วยโซเดียมต่ำและไม่มีสีสังเคราะห์ เพื่อสุขภาพพื้นฐานโดยรวมในระยะยาวของแมว อย่าง Buzz Pets Food แต่ละสูตรประกอบด้วยวิตามินและสารอาหารแบบเฉพาะ เพิ่มประโยชน์ต่อสุขภาพของแมวให้มากที่สุดโดยการใช้ส่วนผสมที่ละเอียดเหมาะกับน้องแมวทุกวัย

 

สุนัขหลังคลอด ต้องดูแลอย่างไร

สุนัขหลังคลอด ต้องได้รับการดูแลและสารอาหารอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างน้ำนมที่มีคุณภาพให้ลูกสุนัขได้กิน และฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์แข็งแรงอีกครั้ง 

 

สภาวะของสุนัขหลังคลอด

       โดยปกติ แม่สุนัขหลังคลอด จะมีช่วงให้นมลูกประมาณ 8 – 9 สัปดาห์ ซึ่งสารอาหารที่แม่สุนัขได้รับจะนำไปใช้ในการสร้างน้ำนมเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ช่วงหลังคลอดแม่สุนัขอาจซูบผอมไปบ้าง บางตัวอาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว และอารมณ์ที่แปรปรวน ซึ่งเกิดจากสัญชาตญาณที่ต้องปกป้องลูก นอกจากนี้ สภาพขนของแม่สุนัขอาจดูหยาบกระด้างไม่เงางามเหมือนก่อน เนื่องจากช่วงตั้งท้องและให้นม แม่สุนัขจะถูกดึงโปรตีน แคลเซียม และฟอสฟอรัส จากร่างกายไปยังลูกสุนัขและน้ำนม จึงไม่แปลกที่หลังคลอดสภาพขนของน้องจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะสารอาหารเหล่านั้นเป็นส่วนประกอบจำเป็นต่อการมีสุขภาพขนที่ดี

ดังนั้น ในช่วงหลังคลอด นอกจากเจ้าของจะต้องใส่ใจดูแลลูกสุนัขแล้ว แม่สุนัขก็ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน ทั้งเรื่องสภาพแวดล้อมและอาหารการกิน

สุนัขหลังคลอด

 

ดูแลสุนัขหลังคลอด ต้องทำอย่างไรบ้าง

  • ในช่วงแรกหลังคลอด ควรจัดพื้นที่ให้แม่และลูกสุนัขอยู่ โดยอากาศต้องถ่ายเทสะดวก ไม่มีสิ่งรบกวน เช่น สุนัขตัวอื่น คน ยุง แมลงวัน เป็นต้น เพราะในช่วงนี้แม่สุนัขจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว เพราะหวงลูก 

 

  • ไม่อาบน้ำสุนัขหลังคลอด ควรรอ 2 – 3 สัปดาห์ และต้องอาบโดยใช้แชมพูอ่อน ๆ สำหรับสุนัขโดยเฉพาะ เนื่องจากหากอาบน้ำทันที อาจมีสารตกค้างจากแชมพูติดตามตัวแม่สุนัข ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อลูกสุนัขได้ในขณะดูดนม

 

  • พาสุนัขหลังคลอดไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์ เพื่อตรวจเช็กการฟื้นตัว และหาความผิดปกติของร่างกาย จะได้รักษาได้ทันท่วงที

 

  • แม่สุนัขต้องได้รับอาหารและน้ำสะอาดที่เพียงพอ โดยสุนัขหลังคลอดจะต้องใช้พลังงานมากเป็นพิเศษเพื่อสร้างน้ำนม เจ้าของจะต้องให้อาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน โดยเพิ่มปริมาณมากขึ้นเป็น 2 – 3 เท่า จากปริมาณเดิมที่เคยให้ และเพิ่มจำนวนมื้ออาหารให้น้องเป็น 2 – 4 มื้อ / วัน ในช่วง 2 – 5 สัปดาห์แรกหลังคลอด หลังจากนั้น ค่อย ๆ ปรับปริมาณและมื้ออาหารให้ลดลง จนเหลือ 2 มื้อ / วัน ในปริมาณปกติ เพราะในช่วงสัปดาห์หลัง ๆ แม่สุนัขจะเริ่มสร้างน้ำนมน้อยลงแล้ว

 

เพราะอาหารที่ดี ส่งผลต่อสุขภาพของสุนัขโดยตรง เจ้าของอย่างเรา จึงใส่ใจดูแลด้วยการเลือกอาหารสุนัขที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ อย่างแคลเซียม และ ฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อสุนัขหลังคลอด อย่าง Buzz Balance Nutrition อาหารสุนัขพรีเมียม ไม่แต่งสี โซเดียมต่ำ ไม่ใส่สารกันบูด ที่มีสารอาหารครบถ้วนตามที่แม่สุนัขต้องการ พร้อมมีหลากหลายรสให้เลือก ตอบโจทย์เจ้าของที่อยากดูแลและฟื้นฟูสุนัขหลังคลอดให้กลับมาแข็งแรงได้ดังเดิมเป็นอย่างยิ่ง

 

ขนร่วง หรือ ผลัดขน เหมียวของคุณเป็นอะไรกันแน่?

ขนร่วง อีกหนึ่งปัญหาที่คนเลี้ยงแมวหนีไม่พ้น ซึ่งหลาย ๆ คนมักเข้าใจผิดว่าเป็นธรรมดาของสัตว์มีขนที่ต้องผลัดขน แต่ที่จริงแล้วปัญหาขนร่วงต่างจากการผลัดขนโดยธรรมชาติ และเป็นหนึ่งสิ่งบ่งชี้ว่าแมวของคุณอาจกำลังเผชิญกับปัญหาผิวหนังอยู่ แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่า แมวผลัดขนหรือขนร่วงกันแน่ ?

 

แมว

ขนร่วง หรือ ผลัดขน เจ้าเหมียวเป็นอะไรกันแน่ ?

ผลัดขน เป็นการเปลี่ยนแปลงตามการเจริญเติบโตของเส้นขนโดยธรรมชาติ ที่ต้องผลัดขนเก่าเพื่อระบายความร้อนออกจากผิวหนัง และผลัดเซล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป เพื่อทดแทนด้วยขนเส้นใหม่ ส่วนใหญ่การผลัดขนจะเร่มขึ้นเมื่อหมดฤดูหนาว โดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้จะค่อย ๆ เกิดขึ้น ขนเก่าที่ผลัดออกจะร่วงทั้งตัว โดยไม่ร่วงจนแหว่งเป็นวง แต่ถ้าหากแมวของคุณมีขนร่วงในลักษณะเช่นนี้ นี่อาจจะไม่ใช่การผลัดขนตามปกติ เพราะน้องอาจประสบกับปัญหาผิวหนังบางอย่างอยู่ ซึ่งวิธีสังเกตง่าย ๆ มีดังนี้

  • ขนร่วงไปโดยไม่มีขนใหม่ขึ้นแทนที่ ต่างจากการผลัดขน แม้จะร่วงเยอะ แต่จะมีขนใหม่ขึ้นมาแทนอยู่ตลอด
  • ขนร่วงเป็นหย่อม ๆ หรือเป็นกระจุก จนบางบริเวณไม่เหลือขนเลย ต่างจากการผลัดขนที่จะร่วงทั่วร่างกาย
  • แมวอาจมีความผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น มีอาการคัน ตุ่ม ผื่นแดง แผลถลอกจากการเกา เป็นต้น

แมว

 

ปัญหาขนร่วงนั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ 

  • ขนร่วงจากการติดเชื้อที่ผิวหนัง เช่น เชื้อรา เชื้อยีสต์ เชื้อแบคทีเรีย หมัด ไร พยาธิ เป็นต้น มักจะแสดงอาการผื่นแดง ขนร่วงเป็นหย่อม ๆ หรือผิวหนังส่งกลิ่นเหม็น
  • อาการแพ้ทำให้ขนร่วง อย่างการแพ้อาหาร ผลิตภัณฑ์ที่ทาบนผิวหรือแชมพู หญ้า พื้นที่ที่มีสารเคมีปนเปื้อน เป็นต้น
  • แมวขนร่วงเพราะอายุมาก แมวแก่ขนจะแห้ง ไม่สามารถเลียทำความสะอาดขนตัวเองได้ดี ขนจึงร่วงหลุดเยอะขึ้นกว่าปกติ
  • เครียดจนขนร่วง แมวบางตัวมีภาวะความเครียดหรือความกลัวอย่างรุนแรง ทำให้ขนร่วงมากกว่าปกติ
  • เลียขนมากเกินไปจนขนร่วง แม้จะเป็นวิธีการทำความสะอาดขนของเจ้าเหมียว แต่ถ้าเลียในจุดเดิมซ้ำ ๆ มากจนเกินไป ลิ้นหยาบ ๆ ของแมวจะทำให้ขนบริเวณนั้นร่วงจนหมด และทำให้ขนสุขภาพไม่ดีด้วย
  • ขนร่วงเพราะขาดสารอาหาร ขนและผิวหนังของแมวต้องการโปรตีนจำนวนมากเพื่อการเจริญเติบโต และการฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังต้องการวิตามินเอ และวิตามินอี เพื่อเสริมสร้างสุขภาพขนที่ดี และป้องกันขนร่วง เมื่อไม่ได้รับสารอาหารเหล่านี้ เส้นขนของแมวจะบางลง และหลุดร่วงง่ายกว่าปกติ

 

เห็นแบบนี้ ทาสแมวหลายคนอาจตกใจ ว่าจะทำอย่างไรหากเจ้าเหมียวของคุณมีปัญหาขนร่วง ไม่ต้องตกใจไปเพราะปัญหานี้มีวิธีรักษาและป้องกัน

  • อันดับแรก พาเจ้าเหมียวไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจเช็กให้รู้ชัดเจนกันไปเลยว่า ขนร่วงจากสาเหตุใด จะได้รักษาได้อย่างถูกวิธี 
  • ป้องกันการติดปรสิต ด้วยการควบคุมสภาพแวดล้อมที่แมวอาศัยอยู่ให้ได้มากที่สุด และปรึกษาสัตวแพทย์ เพื่อวางโปรแกรมควบคุมปรสิตอย่างสม่ำเสมอ
  • หมั่นแปรงขน เพื่อกำจัดเศษขนส่วนเกิน และป้องกันขนพันกันในกรณีแมวขนยาว โดยแปรงอย่างช้า ๆ เบามือ ในระยะเวลาสั้น ๆ 
  • เสริมความแข็งแรงให้เส้นขน ด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงขน โดยในกรณีนี้ ควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อเลือกชนิดของผลิตภัณฑ์จะดีที่สุด

 

        และท้ายที่สุด ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาขนร่วงจะลดลง หากแมวได้รับสารอาหารที่เหมาะสม การเลือกอาหารแมวที่มีสารอาหารครบถ้วน ทั้งเรื่องการเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง สุขภาพขนและผิวหนังที่ดี จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ อย่าง Buzz Advanced Nutrition – Hair & Skin สูตรสำหรับบำรุงเส้นขน เเละ ผิวหนัง ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยโปรตีน ไขมันที่เหมาะสม โอเมก้า 3 และ 6 พร้อมเพิ่มคอลลาเจน เพื่อบำรุงผิวหนังและเส้นขน อีกทั้งยังมีเส้นใยเซลลูโลสพลัสช่วยให้ขนผ่านทางเดินอาหารได้ดี จบครบตามที่เจ้าเหมียวต้องการ ตอบโจทย์มาก ๆ สำหรับทาสแมวที่ต้องการดูแลสุขภาพแมวเหมียวที่คุณรัก 

 

น้องแมว เครียดอยู่หรือเปล่า?

น้องแมวเครียด อยู่หรือเปล่า? บางทีอาการแปลก ๆ ที่แมวแสดงออกมาให้คุณได้เห็นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณหรือนิสัยส่วนตัวของสัตว์เลี้ยง แต่มันคือสัญญาณที่พวกเขากำลังแสดงออกให้คุณทราบว่ากำลังมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ก็ได้ ซึ่งความเครียด อาการวิตกกังวลต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้กับแมว สุนัข หรือสัตว์ตัวอื่น ๆ ได้ทั้งนั้นไม่ต่างจากคนเลย แต่แมวเครียดจะเกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง น้องจะเริ่มมีพฤติกรรมแปลก ๆ แบบใดให้เราได้สังเกต วันนี้ Buzz Pet อาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมมีคำตอบมาฝาก 

น้องแมว

สาเหตุที่ทำให้น้องแมวเครียด 

ขึ้นชื่อว่าความเครียดแล้ว ไม่มีทางที่สิ่งนี้จะส่งผลดีกับใครทั้งนั้นไม่ว่าจะกับคนหรือสัตว์ก็ตาม โอกาสที่จะทำให้แมวเครียดสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หลายสถาานการณ์ขึ้นอยู่กับแมวแต่ละตัว บางตัวเจอเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งมาก็ทำให้เกิดความเครียด แต่อีกตัวนึงเจอเหตุการณ์เดียวกันกลับไม่เป็น จุดนี้มีความคล้ายคลึงกับคน ซึ่งในแต่ละคนมีความอดทน มีภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกัน สาเหตุที่ทำให้แมวเครียดที่พบเจอกันบ่อย ๆ มีดังนี้ 

  • ความซ้ำซากจำเจ ที่อาจทำให้แมวเบื่อจนเกิดความเครียด 
  • กังวลเรื่องอาณาเขต ความปลอดภัยของตัวเองจากแมวตัวอื่น หรือสัตว์ประเภทอื่น 
  • ตกใจกลัวเสียงดัง เช่น เสียงจากฟ้าผ่า เสียงพลุ เสียงปืน เสียงเพลงดัง (ส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับแมวบางตัวเท่านั้น บางตัวก็ไม่ได้กลัว) 
  • ถูกปล่อยให้อยู่ในบ้านเพียงลำพัง ไม่มีคน หรือสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ๆ ที่คุ้นเคยอยู่ด้วย 
  • อยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ต้องย้ายที่ หรือมีการเดินทาง
  • สารอาหาร ปริมาณ และน้ำดื่มไม่เพียงพอต่อร่างกาย และความหิว
  • มีสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ สมาชิกตัวใหม่เข้ามาในบ้าน 

น้องแมว

สังเกตอาการด่วน น้องแมวอาจกำลังเครียดอยู่

หลังจากที่ทราบสาเหตุเบื้องต้นของความเครียดที่เกิดขึ้นกับน้องแมวแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องมาลองสังเกตสัตว์เลี้ยงข้าง ๆ ตัวคุณบ้าง ว่าแมวเหมียวมีพฤติกรรมแปลก ๆ  ที่จะเป็นสัญญาณเตือนให้เราได้ ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ ที่น้องแมวแสดงออกมาจะมีทั้งเรื่องที่เรามองว่าปกติแต่สำหรับเขาไม่ปกติ หรือเป็นพฤติกรรมใหม่ที่น้องแมวไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน รวมรวบที่เจอได้บ่อยมาแล้ว ดังนี้ 

  • เริ่มขับถ่ายไม่เป็นที่ ไม่ใช้กระบะทราย
  • เลียขน ทำความสะอาดขนตัวเองมากผิดปกติ (มีโอกาสที่จะขนหลุดร่วง และเกิดปัญหาผิวหนังอักเสบได้ในภายหลัง)
  • ร้องเสียงดัง หรือเงียบแยกตัวออกจากโลกภายนอกจนผิดสังเกต 
  • แสดงความดุร้ายใส่ทั้งคน และสัตว์ตัวอื่น 
  • เคี้ยวปากจนน้ำลายยืด 
  • เริ่มทำลายข้าวของ เฟอร์นิเจอร์ หมอน เตียง สิ่งใกล้ตัว (ส่วนนี้ขึ้นอยู่กับวัย พันธุ์ ลักษณะนิสัยด้วย)
  • กินอาหารน้อยลง 
  • นอนเยอะมากขึ้น 

หากปล่อยทิ้งไว้ ความเครียดเหล่านี้จะสะสมไปเรื่อย ๆ ส่งผลต่อสุขภาพจิตและอาจจะลามไปถึงระบบร่างกายต่าง ๆ ทำให้น้องแมวมีโอกาสป่วยง่ายมากขึ้น สุขภาพผิวหนังไม่ดี ขนร่วง เป็นภูมิแพ้ หรือร้ายแรงกว่านั้น ความเครียดอาจจะกลายเป็นสาเหตุสำคัญของโรคร้ายที่ตามมาในอนาคตก็ได้ 

หากคุณทราบว่าอะไร สถานการณ์แบบไหนเป็นแรงกระตุ้นที่ส่งผลทำให้น้องแมวเครียดแล้ว การหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำรอย เพิ่มความเครียดสะสมให้กับแมวเหมียวถือเป็นเรื่องที่เจ้าของอย่างเราควรทำมากที่สุด นอกจากนี้ การดูแลอาหารให้ครบถ้วนทั้งปริมาณและตามหลักโภชนาการ พร้อม ๆ กับการให้ความรัก ความเอาใจใส่กับสัตว์เลี้ยงถือเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้เขากลับมามีสุขภาพดี แข็งแรง จิตใจแจ่มใสได้มากกว่าครั้งไหน ๆ

สุนัขแก่ ควรดูแลอย่างไร?

สุนัขแก่ ต้องดูแลอย่างไรดี? แน่นอนว่าถ้าน้องหมาอยู่กับเรา ใช้ชีวิตกับเราจนแก่ได้ขนาดนี้ ความรัก ความผูกพันย่อมต้องมีมากขึ้นทุกวันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ร่างกายของสุนัขก็เหมือนมนุษย์เรานั่นแหละ พออายุเยอะขึ้น สังขารก็ต้องมีโรยราตามกาลเวลาเป็นเรื่องธรรมดา ความแข็งแรงมีไม่เหมือนเดิม ต้องระมัดระวังหลาย ๆ อย่างมากขึ้น ตั้งแต่อาหารการกิน การใช้ชีวิต ซึ่งไม่ต่างจากการดูแลผู้สูงอายุเลย จึงเป็นหน้าที่ของผู้เลี้ยงเองที่ต้องใส่ใจดูแลในเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่จะต้องดูแลอย่างไร? มีความแตกต่างจากการดูแลน้องหมาวัยหนุ่มสาวอย่างไร อาหารสุนัข BUZZ PETS มีเคล็ดลับการดูแลมาฝาก 

 

สุนัขเริ่มแก่แล้ว สังเกตอย่างไร? 

อยู่ด้วยกันทุกวัน บางทีคุณอาจจะไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของสุนัขเท่าไรนัก ตามปกติแล้วสุนัขจะเริ่มแก่เมื่อเข้าสู่ปีที่ 8 ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของน้องหมาแต่ละพันธุ์

  • สุนัขพันธุ์เล็ก จะเริ่มแก่เมื่ออายุเข้าปีที่  8 และอายุยืนถึง 14 -15 ปี
  • สุนัขพันธุ์กลาง จะเริ่มแก่เมื่ออายุ 6 – 7 ปี และอายุยืนถึงประมาณ 12 ปี 
  • สุนัขพันธุ์ใหญ่ จะเริ่มแก่เมื่ออายุ 5 – 6 ปี และอายุยืนได้ถึง 10 ปี

 

แต่นอกจากเรื่องของอายุแล้ว คุณยังสามารถสังเกตได้ลักษณะทางร่างกาย นิสัย ความขี้เล่นที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุขัย เช่น สีขน หากเป็นสุนัขที่มีหลายสี สีส่วนที่เข้มสุดจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีอ่อนลงก่อนโดยเฉพาะขนบริเวณปาก ใบหน้า จะเปลี่ยนชัดเจนมาก น้องหมาเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง ไม่คล่องตัวเหมือนแต่ก่อน มีอาการเหนื่อยง่ายเพิ่มเติม นอนบ่อยมากขึ้น บางตัวอาจมีอาการตาฝาง ผิวหนังเริ่มมีกระเนื้อเพิ่มขึ้น 

เมื่อความคล่องตัวไม่เหมือนเดิม ระบบภายในร่างกายเริ่มลดประสิทธิภาพในการทำงานลง ความขี้เล่น ความบ้าพลังเริ่มลดลงโรยราไปตามอายุ การดูแลน้องหมาก็ต้องเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสม ซัพพอร์ตกับร่างกายที่เปลี่ยนไปของสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณ เพื่อให้น้องหมาอยู่กับเราอย่างแข็งแรงไปได้อีกยาว ๆ

 

สุนัข

 

“อาหาร” สิ่งสำคัญที่ต้องเปลี่ยนแปลง 

น้องหมาก็เหมือนกับเรา ที่พอแก่ตัวลงท้องไส้ก็เริ่มไม่คอยดี ย่อยอาหารยาก ท้องอืดบ่อย อึถ่ายไม่สะดวก แนะนำให้ลองเปลี่ยนมาให้น้องหมากินอาหารสุนัขที่มีโปรตีนในปริมาณที่พอดีเพื่อลดการทำงานของไต มีไขมันน้อยเพื่อให้เพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวันเท่านั้น และมีส่วนประกอบของไฟเบอร์สูง เพื่อให้น้องหมาย่อยอาหาร และขับถ่ายได้อย่างปกติ คุณอาจจะต้องดูให้ลึกไปถึงส่วนประกอบที่ใช้ผลิตอาหารเลย แนะนำให้เลือกอาหารสุนัขที่ใช้เนื้อแกะเป็นหลัก เพราะเนื้อแกะถือเป็นแหล่งโปรตีนที่สัตว์เลี้ยงมีโอกาสแพ้น้อยมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายมากกว่าเนื้อแดงประเภทอื่น ๆ เปลี่ยนเวลาและปริมาณอาหารที่ให้เป็นประจำ จากปกติที่ให้น้องหมากิน 1 มื้อในปริมาณเยอะ ๆ ทีเดียวจบ คุณอาจต้องเปลี่ยนแบ่งเป็น 2 มื้อ แล้วลดปริมาณในแต่ละมื้อแทน นอกจากนี้ควรมีน้ำดื่มวางไว้ให้น้องหมาตลอดเวลาด้วย

สุนัข

การดูแลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สำคัญ 

นอกจากเรื่องอาหารแล้ว การดูแลน้องหมาในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สำคัญมาก และทำให้เขาได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ดังนี้

สถานที่นอน : ควรรองที่นอนของน้องหมาให้นุ่มสบายมากขึ้น เพื่อลดแรงเสียดทานที่จะเกิดขึ้นกับข้อต่อต่าง ๆ หรืออาการปวดเนื้อปวดตัวของสุนัขเมื่อเริ่มแก่ตัวลง  

การขับถ่าย : พอเริ่มแก่อีกหนึ่งปัญหาที่ต้องเจอคือเรื่องอั้นฉี่ ควรพาน้องหมาไปขับถ่ายให้บ่อยขึ้น หรือทำมุมปลดทุกข์ให้สุนัขไปเลย 

การออกกำลังกาย : ความบ้าพลังอาจจะหดหายไปบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้สุนัขนั่งซึมไม่พาไป Relax หรือออกกำลังกายเลย สิ่งนี้ยังสำคัญกับสุนัขอยู่ แต่แค่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับร่างกาย ไม่ควรเป็นกิจกรรมที่ส่งผลเสียต่อข้อต่อ กระดูก หรือใช้พลังงานเยอะ หักโหมจนเกินไป 

การทำความสะอาด : สุขลักษณะของสุนัขยังคงเป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าน้องหมาจะอยู่ในวัยไหน ยิ่งกับสุนัขแก่ที่ร่างกายเคลื่อนไหวลำบาก เริ่มทำความสะอาดขนตัวเองไม่ได้ มีปัญหาช่องปากที่เริ่มกินอาหารแข็ง ๆ ไม่ได้ เริ่มมีหินปูนเกาะซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดเหงือกอักเสบแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาลุกลามส่งผลต่อน้องหมาในอนาคต (อีกไม่ไกล) การใส่ใจในเรื่องนี้จะช่วยน้องหมาได้เยอะ 

เพราะน้องหมาบางตัวเป็นมากกว่าเพื่อนต่างพันธุ์ แต่เขาเป็นเหมือนส่วนหนึ่งในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรัก ความผูกพัน การดูแลเขาให้ดีที่สุดในวันที่เขาแก่ตัวลงจึงเป็นสิ่งที่ผู้เลี้ยงอย่างเรา ๆ ควรให้ความสำคัญ เพื่อให้เขาสุขภาพแข็งแรง มีความสุขสนุกสนานกับเราไปได้เรื่อย ๆ

วิธีดูแล น้องหมา ช่วงฮีตหรือติดสัด

น้องหมาช่วงฮีต หรือ ติดสัด เป็นสัญญาณธรรมชาติที่บ่งบอกได้ว่าพร้อมแล้วที่จะผสมพันธุ์แล้ว ขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นช่วงที่มือใหม่หลาย ๆ คนกังวลและสับสนว่าควรจะรับมืออย่างไรดีกับการติดสัดของน้อง เนื่องจากนอกจากจะมีอาการติดสัดแล้วก็ยังร้องเสียงดังหลายครั้งจนทำให้เรายิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก วันนี้ Buzz Pets Food จึงมีวิธีดูแลน้องหมาช่วงฮีตหรือติดสัดมาฝากทุกคน 

 

 

สัญญาณเตือนและวงจรช่วงติดสัด (Estrus Cycle)

สัญญาณแรกที่สังเกตได้คือการบีบรัดของช่องคลอด อวัยวะเพศบวมแดงแต่จะสังเกตได้ไม่ชัดเจนมากนัก ทั้งนี้สามารถสังเกตได้อีกอย่างคือการมีของเหลวสีแดงไหลจากช่องคลอด ซึ่งคล้ายกับเลือดประจำเดือนในคน การเป็นสัดครั้งแรกจะเริ่มเมื่อสุนัขมีอายุประมาณ 6 – 12 เดือน แล้วแต่สายพันธุ์ โดยสามารถแบ่งวงจรช่วงฮีตหรือติดสัด (in heat) ได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้

 

  • ระยะก่อนติดสัด (Proestrus)  ระยะเวลาประมาณ 4 – 20 วัน อวัยวะเพศเริ่มขยายใหญ่ขึ้น มักจะเห็นเลือดหรือเมือกสีแดงสดไหลออกมา คล้ายเลือดประจำเดือนในคน ทำให้หลายคนเข้าใจว่าสุนัขมีประจำเดือน ซึ่งในช่วงนี้สุนัขจะก้มไปเลียอวัยวะเพศตัวเองเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังกินน้ำและขับถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้นด้วย

 

  • ระยะติดสัด (Estrus) ระยะเวลาประมาณ 5 – 13 วัน เลือดหรือเมือกสีแดงสดเริ่มจางลงเรื่อย ๆ สุนัขเพศเมียจะเริ่มสนใจสุนัขเพศผู้มากกว่าช่วงระยะก่อนติดสัด สังเกตได้ง่าย ๆ โดยใช้มือกดและแตะที่บริเวณหลังหรือเอวสุนัขแล้วดูว่าสุนัขยืนนิ่งยกหางหรือไม่ หากใช่ แสดงว่าเป็นการยอมรับการผสมพันธุ์นั่นเอง

 

  • ระยะหลังติดสัด (Diestrus) ระยะเวลาประมาณ 60 – 90 วัน อวัยวะเพศจะค่อย ๆ ลดขนาดลงจนกลับมาเท่าขนาดปกติ ไม่พบของเหลวไหลออกมาอีก แต่ถ้าหากน้องหมาผสมพันธุ์ไปแล้วในระยะติดสัด ก็จะตั้งท้องและคลอดลูกภายในระยะนี้

 

  • ระยะพัก (Anestrus)  ระยะเวลาประมาณ 2 – 3 เดือน เป็นระยะพักและซ่อมแซมมดลูกหรือเรียกได้ว่าเป็นระยะที่มดลูกเข้าอู่ในสุนัขที่เพิ่งออกลูก โดยเมื่อสิ้นสุดระยะนี้แล้วจะเข้าสู่วงรอบการติดสัดครั้งต่อไป

 

โดยเฉลี่ยส่วนมากแล้วสุนัขจะติดสัดประมาณ 2 รอบต่อปี หรือทุก ๆ 6 เดือน สำหรับสุนัขพันธ์ุเล็กอาจติดสัดได้มากถึง 3 รอบต่อปี ในขณะที่สุนัขพันธุ์ใหญ่จะมีอาการติดสัดเพียง 2 รอบต่อปี ซึ่งถ้าน้องหมาเพิ่งมีอาการติดสัดในช่วงแรกก็ไม่ต้องตกใจไปที่วงจรการติดสัดอาจมีอะไรผิดสังเกตไปบ้าง เพราะโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี ที่วงจรการติดสัดของน้องหมาถึงจะพัฒนาให้เป็นปกติ

 

 

น้องหมา

 

วิธีการดูแลน้องหมาช่วงติดสัด

  1. หากเราไม่ต้องการให้น้องหมาตั้งท้อง ควรกักบริเวณในช่วงระยะติดสัด แต่ถ้าอยากให้มีลูกช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เหมาะที่สุด เพราะสุนัขจะยอมรับการผสมพันธุ์และเป็นช่วงที่ไข่ตก จึงมีโอกาสตั้งท้องสูงมาก
  2. หมั่นดูแลเรื่องการเปลี่ยนถ่ายน้ำให้น้องหมาบ่อยครั้งขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่กินน้ำเยอะกว่าช่วงอื่น ๆ 
  3. ใส่ผ้าอ้อมหรือแพมเพิร์สให้น้องหมา เพื่อลดความยุ่งยากในการทำความสะอาด เพิ่มเวลาสังเกตและใส่ใจกับน้องหมามากขึ้นแทน
  4. สุนัขมักจะมีอาการกระสับกระส่ายมากขึ้นในช่วงติดสัด ดังนั้นจึงควรเล่นด้วยบ่อย ๆ และให้ความรักมากขึ้นเป็นพิเศษ
  5. ปล่อยให้น้องหมาได้ผ่อนคลายบ้าง เพราะในช่วงนี้จะมีอาการหงุดหงิดง่าย โมโหง่าย โดยอาจจะพาไปวิ่งเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ

 

จะเห็นได้ว่าการสังเกตน้องหมาช่วงฮีตและติดสัด รวมถึงวิธีการดูแลน้องหมาในช่วงนี้ไม่ยากและไม่น่ากังวลอย่างที่คิดเลย ลองนำไปปรับใช้กันนะคะ แล้วคราวหน้าจะมีวิธีการดูแลน้องหมาอะไรอีก อย่าลืมติดตามกันนะคะ

 

ประโยชน์ของแครอทในสุนัขและแมว

  • แครอท นี่แหละอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี เมื่อสุนัขหรือแมวกินแครอทในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยบำรุงในด้านสายตา ทำให้ช่วยป้องกันโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อสุนัขเข้าสู่วัยชรา เพราะสุนัขอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นต้อกระจก ต้อหิน ฉะนั้น แครอทสามารถยับยั้งและป้องกันการเกินโรคได้ นอกจากนั้น ยังมีวิตามิน A ที่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการเจริญเติบโต และทำให้สุขภาพขนและผิวหนังดียิ่งขึ้นอีกด้วย

 

  • วิธีการให้ พ่อ แม่ สัตว์เลี้ยงสามารถให้น้องเหมียวและน้องหมาทานทั้งแบบหั่นเป็นคำๆ นำไปต้มให้สุก หรือ จะให้แบบสดๆเลยก็ได้แต่ควรนำไปล้างให้สะอาดเรียบร้อยเสียก่อน หรือ ในอาหารสัตว์เลี้ยงบางยี่ห้อโดยเฉพาะสินค้าเกรดสูงๆ ก็จะมีการผสมแครอทลงไปในอาหารให้ครบเสร็จสรรพเช่นกัน

ทำไมถึงเลือกอาหารสุนัขสูตรเนื้อแกะจากบัซซ์

บัซซ์เป็นผู้นำด้านอาหารสุนัขสูตรเนื้อแกะในประเทศไทยมาตลอด 12 ปีที่ผ่านมาและยังคงรักษาความไว้วางใจจากผู้เลี้ยงมาตลอดจนถึงปัจุบัน

เหตุผลที่อาหารสุนัขบัซซ์สูตรเนื้อแกะต้องผลิตและนำเข้าจากออสเตรเลียก็เพราะ ที่ประเทศออสเตรเลียนั้น เกษตรกรส่วนใหญ่เลี้ยงแกะเป็นจำนวนมากทำให้บัซซ์ได้วัตถุดิบที่ดีเเละมีราคาที่ถูกกว่าในหลายๆประเทศ นั่นจึงทำให้ อาหารสุนัขบัซซ์มีคุณภาพที่สูงเเต่สามารถขายให้กับลูกค้าในราคาประหยัดได้

อาหารสุนัขบัซซ์สูตรเนื้อแกะนั้น ช่วยในเรื่องโรคผิวหนังได้เป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องขนร่วงคันตามผิวหนัง ลดคราบน้ำตา และ ลดกลิ่นอุจาระ ปัญหาทั้งหมดนี้จะหมดไป เมื่อคุณเปลี่ยนมาลองใช้ “บัซซ์”