Cook With Heart, Feed With Love™

ตรวจเลือดแมว เรื่องสำคัญที่เจ้าทาสไม่ควรละเลย

การ ตรวจเลือดแมว เป็นการใส่ใจสุขภาพน้องแมวขั้นพื้นฐาน และเป็นเรื่องสำคัญที่ทาสแมวไม่ควรละเลยเพราะอะไร? มาหาคำตอบกัน 

 

สำคัญมากก! ทาสแมวมือเก๋าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าการตรวจเลือดแมวเป็นประจำ ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เราไม่ควรมองข้ามเลย อีกทั้งยังถือเป็นการประเมินสุขภาพน้องแมวเบื้องต้นได้อีกด้วย ซึ่งมือใหม่หรือหลายคนอาจจะสงสัยว่ามันจำเป็นต้องตรวจเลือดแมวบ่อย ๆ อย่างน้อยทุก 1 ปีเลยจริงหรือ? ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไป ไม่ได้ตรวจเฉย ๆ อย่างแน่นอน  

 

ทำไมต้อง ตรวจเลือดแมว 

เพราะน้องแมวเองมีร่างกาย และอุปนิสัยเฉพาะตัวที่แตกต่างจากคนและสัตว์ชนิดอื่นมากค่ะ เราจะแบ่งเรื่องสำคัญที่ทำให้น้องแมวทุกตัวควรผ่านการตรวจเลือดเป็น 3 ข้อหลักด้วยกัน 

  • ธรรมชาติของแมวจะเก็บอาการเจ็บป่วยไว้ไม่ให้ใครรู้ ตามสัญชาตญาณของนักล่าและผู้ถูกล่าในตัวค่ะ ดังนั้นทำให้กว่าคุณจะเริ่มจับสังเกต จับอาการป่วยของเขาได้ ก็แสดงว่าอาการป่วยของเขามีมาซักพักใหญ่ ๆ แล้ว ที่เห็นอาการเพราะป่วยระยะ 2 – 3 แล้ว ความเจ็บป่วยเพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว จนเก็บไว้ไม่อยู่ 

 

  • น้องแมวมีโรคเฉพาะตัวที่แตกต่างกันทั้งช่วงอายุ สายพันธุ์ ลองตรวจเลือดปีนี้อาจจะไม่เจอความผิดปกติ แต่อีก 3 ปีข้างหน้าคุณอาจจะเจอโรคแปลก ๆ ที่ฟ้องออกมาจากผลเลือดก็ได้ค่ะ ซึ่งโรคที่เจอได้บ่อยจะแบ่งเป็นกลุ่มแมวเด็ก อายุยังน้อยไปจนถึงแมวแก่อายุมาก ดังนี้  

กลุ่มแมวเด็ก : มักพบปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัส แบคทีเรียบ่อย เนื่องจากอวัยวะภายในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ยังทำงานได้แบบไม่สมบูรณ์ 

กลุ่มแมวแก่ : มักพบปัญหาจากความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ อาทิ ตับ ไต หัวใจ โดยเฉพาะปัญหาจากไต ดูจากภายนอกคุณจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าไตของน้องแมวกำลังเสียหายในระยะเริ่มต้น แต่กว่าจะรู้ กว่าจะแสดงอาการ หลาย ๆ เคสพบว่าค่าไตของเจ้าเหมียวสูญเสียการทำงานไปแล้วอย่างน้อย 60 – 75% 

ตรวจเลือดแมว

 

  • สำหรับใครที่เลี้ยงเจ้าตัวป่วนเยอะ ๆ มีน้องแมวมากกว่า 2 ตัวในบ้านยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษค่ะ เพราะโรคบางโรคสามารถแพร่จากแมวสู่แมวด้วยกันเองได้ ยิ่งบวกกับธรรมชาติของแมวที่มักจะเก็บความเจ็บป่วยเอาไว้ยิ่งทำให้คุณยากต่อการสังเกตอาการ ซึ่งโรคบางโรคไม่ได้ส่งผลแค่สุขภาพร่างกายของน้องแมวเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดความเครียดอีกด้วยค่ะ 

 

โดยการตรวจเลือดแมวจะเน้นไปที่การตรวจค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ดูค่าเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด การตรวจค่าเคมีต่าง ๆ อาทิ การตรวจค่าเอนไซม์ตับ การตรวจค่าไต เจ้าของควรพาน้องแมวมาตรวจสุขภาพ ประเมินความสมบูรณ์ของร่างกายและเข้ารับการตรวจเลือดเป็นประจำทุก ๆ 6 เดือน เพื่อให้คุณมั่นใจว่าเจ้าแมวตัวแสบของคุณจะไม่มีโรค หรือปัญหาอะไรแอบซ่อนอยู่ค่ะ 

ในท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาสุขภาพมากกว่า 80% เกิดจากการเลี้ยงดู ความเอาใจใส่โดยเฉพาะอาหารที่เขากินอยู่ทุกวัน มาเปลี่ยนสุขภาพแมวให้ดีขึ้นง่าย ๆ ด้วยอาหารแมวจาก Buzz Pet Food เพิ่มสมดุลทางโภชนาการได้แบบครบถ้วน เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวของน้องเหมียวค่ะ 

 

เทคนิค อาบน้ำแมว เพื่อขนสวยสุขภาพดี

อาบน้ำแมว อาจเป็นเรื่องปวดหัวของทาสแมวบางคนที่มีแมวไม่ชอบอาบน้ำ แต่ถ้าคุณได้รู้เทคนิคเหล่านี้ เชื่อได้ว่าการอาบน้ำแมวจะกลายเป็นเรื่องง่ายไปทันที

อาบน้ำแมวจำเป็นอย่างไร ?

การอาบน้ำแมวถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ทาสควรทำให้แมว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแมวขนยาว แม้เจ้าเหมียวจะเป็นสัตว์รักสะอาดที่มักจะเลียทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ แต่มันก็เทียบเท่าการอาบน้ำไม่ได้ เพราะการอาบน้ำจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหนังและขนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยป้องกันปรสิตอย่างเห็บ และหมัดได้อีกด้วย การอาบน้ำแมวจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลขนและผิวหนังให้มีสุขภาพดี

แมวอาบน้ำ

อาบน้ำแมวทำได้บ่อยแค่ไหน ?

แม้จะเป็นวิธีดูแลความสะอาดที่สำคัญ แต่การอาบน้ำแมวก็ไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้ขนของเจ้าเหมียวอ่อนแอลงได้ เนื่องจากสูญเสียน้ำมันเคลือบขน และอาจเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้แมวป่วยได้ด้วย ดังนั้น ทาสจึงควรอาบน้ำแมว 1 ครั้ง / 1 – 3 เดือน เท่านั้น

 

เทคนิคการอาบน้ำแมว

แต่ปัญหาใหญ่ของการอาบน้ำแมวที่ทาสหลายคนต้องประสบ คือ เจ้าเหมียวไม่ชอบอาบน้ำ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เพราะโดยพื้นฐานแมวเป็นสัตว์ที่กลัวน้ำอยู่แล้ว การที่จะทำให้แมวยอมอาบน้ำได้ง่าย ๆ จึงต้องฝึกให้แมวคุ้นชินกับน้ำตั้งแต่ยังเด็ก โดยเมื่อแมวอายุได้ 2 เดือน ให้เริ่มจับเท้าของน้องมาจุ่มน้ำอุ่น ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มระดับน้ำจนอาบน้ำได้ ซึ่งในขณะที่อาบน้ำให้น้องทาสจะต้องใจเย็น ไม่ดุ ตี หรือจับหนังคอน้อง เพราะมันอาจทำให้น้องเครียด และฝังใจจนไม่อยากอาบน้ำอีกต่อไป

แต่ถ้าคุณไม่ได้ฝึกน้องมาตั้งแต่ยังเด็ก ก็ต้องเตรียมใจว่าอาจเกิดรอยขีดข่วนบนตัวคุณได้เลย เป็นเหตุให้ทาสหลายคนต้องพึ่งร้านอาบน้ำสัตว์เลี้ยง แต่ถ้าคุณอยากอาบน้ำให้เจ้าเหมียวเอง ก็ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ได้แก่

  • แชมพูสำหรับอาบน้ำแมวโดยเฉพาะ
  • ผ้าเช็ดตัวแมว 
  • แปรงสำหรับแปรงขนแมว
  • ไดร์เป่าผม
  • อ่างอาบน้ำ
  • น้ำอุ่น ๆ 

และทาสจะต้องใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด โดยมีความหนาพอสมควร เพื่อป้องกันเจ้าเหมียวข่วน ถ้าจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราก็มาเริ่มอาบน้ำแมวกันเลย !

  • ตรวจเช็กร่างกายของแมว และสภาพอากาศ หากแมวซึม ไม่ร่าเริง ไม่กินอาหาร หรือขับถ่ายผิดปกติ อีกทั้งหากอากาศเย็น ชื้น หรือมีฝนตก ทาสไม่ควรอาบน้ำให้น้อง
  • แปรงขนให้น้องเหมียวก่อนอาบน้ำ
  • พาน้องลงอ่างน้ำอุ่นช้า ๆ โดยเริ่มจากเอาขาน้องจุ่มน้ำ รอจนน้องนิ่ง แล้วจึงค่อย ๆ ทำให้ตัวน้องเปียกโดยระวังอย่างให้เข้าตา และจมูก ในกรณีที่ใช้ฝักบัวในการอาบ ต้องเปิดน้ำให้เบาที่สุด
  • ผสมแชมพูกับน้ำก่อนลูบไล้ลงบนตัวน้องอย่างเบามือ ถูให้ทั่วทั้งตัว ยกเว้นบริเวณใบหน้า 
  • ล้างแชมพูออกให้หมด ส่วนบริเวณใบหน้าจะทำความสะอาดโดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเบา ๆ 
  • เมื่ออาบน้ำเสร็จ ต้องเช็ดตัวน้องให้แห้ง และเป่าขนด้วยไดร์เป่าผมโดยไม่ใช้ความร้อนให้แห้งสนิท จากนั้นแปรงขนน้องอีกครั้ง เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

อาบน้ำแมว ไม่ใช่เรื่องยาก และถือเป็นวิธีในการดูแลสุขภาพขนและผิวหนังของเจ้าเหมียวที่สำคัญ ส่วนการดูแลจากภายในที่ลืมไม่ได้ ก็คือการเลือกอาหารที่ช่วยบำรุงเส้นขนและผิวหนังโดยตรง อย่าง Buzz Advanced Nutrition สูตรบำรุงเส้นขน เเละ ผิวหนัง อาหารแมวสำหรับแมวทุกสายพันธุ์ ด้วยโภชนาการสารอาหารที่สมดุล พร้อมเพิ่มคอลลาเจน กรดไขมันโอเมก้า 6 และกรดไขมันโอเมก้า 3 เพื่อช่วยบำรุงสุขภาพผิวหนังและขนให้เงางาม เจ้าเหมียวของคุณจึงมีขนสวย นุ่ม น่ากอด

 

6 สัญญาณเตือน น้องแมวป่วย อยู่หรือเปล่า?

แมวป่วย อยู่หรือเปล่า? บางทีพฤติกรรมบางอย่างของน้องแมว อาจจะเป็นสัญญาณเตือนที่เขากำลังจะบอกอะไรเราอยู่ก็ได้ 

 

ถึงน้องแมวจะพูดไม่ได้ แต่เจ้าของอย่างเราก็สามารถรับรู้อาการป่วยของเขาจากความผิดปกติต่าง ๆ ที่เจ้าเหมียวกำลังส่งสัญญาณเตือนมาเพื่อบอกเราได้ แต่จะมีสัญญาณเตือน หรือพฤติกรรมแบบไหนที่เราควรจะระวัง และควรเฝ้าดูอาการมากเป็นพิเศษ วันนี้เรามี 6 สัญญาณเตือน ดูให้รู้ว่าน้องแมวป่วยอยู่หรือเปล่ามาฝากกันค่ะ 

 

  1. น้องแมวอาเจียน หรือขับถ่ายผิดปกติ

ถือเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่คุณสามารถรับรู้ได้ทันที ว่าน้องแมวกำลังมีความผิดปกติในร่างกายค่ะ หากเขามีการขับถ่ายที่ผิดปกติ ถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย ปัสสาวะบ่อยเกินไป หรือมีอาเจียนร่วมด้วย ให้คุณเฝ้าดูอาการภายใน 24 ชั่วโมง หากไม่ดีขึ้น หรือในระหว่างนี้น้องแมวมีการขับถ่ายออกมาเป็นสีที่ผิดปกติ อาทิ ถ่ายเป็นสีดำ, สีแดง ให้รีบพบสัตวแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุทันที สำหรับน้องแมวที่เฝ้าดูอาหารภายใน 24 ชั่วโมงแล้วหายเป็นปกติ ส่วนนี้อาจเกิดจากอาหารที่ผิดสำแดง น้องแมวอาจไปเล่นซนจนเผลอกินอะไรแปลกปลอมเข้า 

ในส่วนการอาเจียนของน้องแมว สามารถสันนิษฐานได้จากสี และลักษณะของเหลวที่เขาสำรอกออกมาค่ะ 

  • อ้วกเป็นสีเหลือง/อ้วกเป็นอาหาร : ปัญหาหลักคือเกิดจากการที่น้องแมวกินไว กินเร็วเกินไป กินแล้วไม่เคี้ยว หากอ้วกบ่อยเกิน 3 ครั้ง/วัน แนะนำพบสัตวแพทย์ 
  • อ้วกเป็นสีเขียว : สันนิษฐานว่าอาจจะมีการติดเชื้อในเบื้องต้น โดยเฉพาะในส่วนกระเพาะ ลำไส้ 
  • อ้วกเป็นสีแดง : อันตรายมาก เป็นสัญญาณของภาวะอวัยวะภายใน เส้นเลือด หรือหลอดอาหารฉีกขาด 
  • อ้วกเป็นสีน้ำตาล : อาจเกิดจากน้องแมวมีเลือดออก หรือมีแผลในกระเพาะอาหาร 

 

  1. น้องแมวป่วย มีกลิ่นปาก 

กลิ่นปากของน้องแมวในที่นี้ คุณต้องแยกให้ออกนะว่าเป็นกลิ่นของอาหารหรือเป็นกลิ่นที่ผิดปกติ หากพบว่าน้องแมวมีกลิ่นปาก อยากให้คุณเจ้าของลองทำความสะอาดช่องปากของเจ้าเหมียวเสียก่อนค่ะ แนะนำให้ใช้ไม้มาทาทาบิให้น้องแมวกัดเล่นเพื่อระงับกลิ่นปาก ให้น้องกินน้ำเยอะ ๆ แล้วมาดูกันอีกทีว่าน้องยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่อีกหรือไม่.. เพราะหากยังมีอยู่นี้อาจจะเป็นสัญญาณสำคัญของแมวป่วย ซึ่งกลิ่นปากอาจหมายถึงโรคภายในช่องปาก โรคเหงือก หรืออาจะร้ายแรงไปจนถึงโรคไต โรคเบาหวานได้เลยค่ะ 

แมวป่วย

  1. แมวมีอาการเบื่ออาหาร 

พฤติกรรมการกินของน้องแมวเอง ก็สามารถเป็นสัญญาณเตือนที่จะบอกถึงอาการป่วยของเขาได้เหมือนกันค่ะ โดยเฉพาะเวลาดื้อไม่ยอมกินอาหาร ซึ่งอาการนี้สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบค่ะ อาจเกิดจากการเปลี่ยนอาหาร หรือเป็นน้องแมวที่มีนิสัยเลือกกิน พอเจอเมนูไม่ถูกใจก็ดื้อไม่ยอมกินซะเลย อันนี้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร แต่ถ้าหากเป็นของโปรดที่ปกติต้องกระโจนเข้าหาทุกครั้ง แต่มาวันนี้มีอาการซึม ไม่ยอมกินอาหาร อันนี้แหละน่าเป็นห่วงแล้วค่ะ 

 

  1. หายใจเร็ว หายใจถี่ 

หากเป็นช่วงเวลาที่น้องแมววิ่งเล่นสนุกมา จะมีหายใจเร็วกว่าปกติจากการออกกำลังกายก็ไม่แปลกค่ะ แต่ถ้าเขานอนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้วิ่ง ไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายแต่กลับหายใจเร็ว หายใจถี่ผิดปกติอันนี้น่าเป็นห่วงแล้วค่ะ ให้นำน้องไปอยู่ที่ในที่ที่เย็น โปร่งสบาย ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเพื่อคลายความร้อนให้น้อง ป้องกันการเป็นฮีทสโตรก และช็อกจนเสียชีวิตได้ค่ะ 

 

  1. น้องแมวซึม ไม่ร่าเริง 

อยู่ด้วยกันทุกวัน เจ้าทาสรู้ดีอยู่แล้วว่าแมวของคุณมีนิสัยอย่างไร หากเดิมน้องเป็นแมวร่าเริง ชอบเรียก ติดคน แต่อยู่ ๆ มาวันนึงมีอาการซึม ไม่ร่าเริง ไม่เล่น ไม่สนใจ ให้คุณเฝ้าดูอาการเบื้องต้นก่อนเลยค่ะ (บางทีน้องอาจจะงอนคุณอยู่หรือขี้เกียจก็ได้) หากน้องแมวยังเมินใส่ ไปแอบหลบตามซอกตามมุม ปลีกวิเวกผิดปกติ เดินลากขาหลัง แสดงว่านี้อาจเป็นสัญญาณว่าน้องแมวป่วยอยู่ค่ะ 

 

  1. มีน้ำมูก ขี้ตาเยอะผิดปกติ 

เรื่องของน้ำมูก ขี้ตา ก็กลายเป็นสัญญาณเตือนแมวป่วยได้เหมือนกัน คุณจึงควรทำความสะอาดขี้ตาของแมวเหมียวอย่างเป็นประจำ ไม่ปล่อยทิ้งไว้จนเป็นคราบ และเพื่อให้คุณได้รู้ด้วยว่าปริมาณน้ำตา น้ำมูกของแมวปกติแล้วจะมีประมาณไหน แล้วเยอะแค่ไหนถึงถือว่าผิดปกติ (น้องแมวบางพันธุ์จะมีอาการตาแฉะ ขี้ตาเยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) ซึ่งอาการน้ำมูก ขี้ตาเยอะผิดปกติสามารถบ่งบอกได้ว่าน้องแมวกำลังป่วยอยู่ได้ ที่พบบ่อยคือไข้หวัด และอาการตาอักเสบ ควรเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีสัญญาณอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น ควรพาน้องพบสัตวแพทย์เพื่อรักษาต่อไป ห้ามให้กินยาของคนเด็ดขาด อันตรายถึงชีวิตเลยนะ 

 

เพราะเรื่องของอาการเจ็บป่วยของแมว ก็มีแต่เจ้าของอย่างเราเนี่ยละที่จะสามารถสังเกตแล้วช่วยเขาได้ แต่นอกจากการใส่ใจ สังเกตสัญญาณเตือนเวลาแมวป่วยแล้ว ในช่วงเวลาปกติที่เขาเล่นซน อ้อนคุณได้ตามปกติ การดูแลเขาทั้งร่างกายและจิตใจก็เป็นเรื่องที่ห้ามละเลย โดยเฉพาะการเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน เพิ่มเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ๆ ด้วย อาหารแมวจาก Buzz Pet Food อัดแน่นด้วยวัตถุดิบ และโภชนการที่ครบถ้วนเหมาะกับเจ้าแมวเหมียวทุกสายพันธุ์ ควบคุมปริมาณโซเดียม ไม่ใส่สี ไม่ใส่สารกันบูด เพื่อให้แมวของคุณสุขภาพดีได้ในระยะยาว 

 

ให้แมวกินปลาทู เรื่องใหญ่ทำร้ายไต แบบที่คุณไม่รู้ตัว

แมวกินปลาทู อันตรายจริงหรือ? การให้แมวกินปลาทูถือเป็นความเคยชินที่มีกันมานานในบ้านเรา จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของของที่คู่กัน มีแมวก็ต้องมีปลาทู แต่ในหมู่คนรักแมวที่มีการดูแลเรื่องโภชนาการให้น้องเหมียวตัวโปรดมากเป็นพิเศษจะทราบกันดีค่ะ ว่า “ปลาทูเข่ง” เมนูอันแสนโอชะของน้องแมวทั่วบ้านทั่วเมือง ได้กินทีไรตาเป็นประกายทุกทีเนี่ยละ ที่จะส่งผลต่อร่างกายแบบผ่อนส่ง กลายเป็นเรื่องใหญ่กับสุขภาพแมวแบบที่คุณไม่รู้ตัว 

 

แมวกินปลาทู ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร? 

หาก “ปลาทู” ที่คุณมอบให้น้องแมวด้วยความรักความเอ็นดูเป็นปลาทูสด ๆ นำมานึ่ง หรือปรุงสุกเองโดยไม่มีการปรุงรสใดใด ก็จะไม่มีปัญหาสุขภาพแบบผ่อนส่งแบบนี้ตามมาหรอกค่ะ เพราะสาเหตุส่วนใหญ่ จะเกิดขึ้นกับแมวกินปลาทูเข่งเป็นประจำมากกว่า ดูผิวเผินปลาทูเข่ง กับปลาทูสดอาจจะไม่แตกต่าง อีกทั้งยังหาซื้อง่าย แถมราคาถูกอีกด้วย แต่กรรมวิธีในการทำปลาทูเข่ง กว่าที่จะเอาออกมาขายตามตลาดที่คุณเห็นมีอะไรมากกว่าที่คิดค่ะ ซึ่งจุดนี้เนี่ยแหละ ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพน้องแมวโดยตรง 

 

การทำปลาทูเข่งจะใช้น้ำเกลือในการต้ม เพื่อเป็นการถนอมอาหารให้ปลาทูคงสภาพอยู่ได้นาน หนังตึง ไม่เน่า ไม่บูด ช่วยยืดระยะเวลาในการวางขายในตลาดให้ได้นานที่สุด ทำให้ปลาทูเข่งอุดมไปด้วยเกลือ ไอโอดีน และมีรสเค็มมากเป็นพิเศษ เรื่องนี้ส่งผลต่อการทำงานของไตโดยตรงค่ะ  เพราะความสามารถในการขจัดของเสียออกจากร่างกายแมว ไม่ได้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับร่างกายมนุษย์ขนาดนั้น ทำให้ไตต้องรับบทหนักมากขึ้น เมื่อไตทำงานหนักเป็นประจำ ความแข็งแรงของไตก็จะลดลง อ่อนแรงลงจนกลายเป็นโรคไตเรื้อรังในที่สุด ยังไม่รวมไปถึงเชื้อโรค และแบคทีเรียในปลาทูเข่งที่อาจทำให้แมวท้องเสีย อาเจียนได้ ในกรณีให้ให้น้องแมวกินแบบไม่มีการอุ่น หรือใช้ความร้อนใดใดเพิ่มเติม

แมวกินปลาทู

อาหารแมวที่ผ่านการควบคุมโภชนาการ ตอบโจทย์ที่สุด 

ถึงแม้ว่าแมวกินปลาจะเป็นเรื่องเคยชินสำหรับคุณ ถึงปลาที่ให้จะเป็นปลานึ่ง ปลาต้มแบบไม่ผ่านการปรุงรสใดใด ไม่เสี่ยงต่อโรคไตก็ตาม  แต่ในแง่มุมของสารอาหารที่ครบถ้วนก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี การเลือกอาหารแมวที่ผ่านการควบคุมโภชนาการ มีความแม่นยำ เติมเต็มและดูแลสุขภาพของน้องแมวได้ในทุกส่วน ตั้งแต่สุขภาพร่างกาย พลังงาน ผิวหนัง เส้นขน ไปจนถึงรสชาติ กลิ่น ที่ทำให้น้องแมวเจริญอาหารได้อย่าง บัซซ์ อาหารแมว Balance Nutrition อาหารแมวที่ถูกคิดค้นให้เหมาะสมกับร่างกายของแมวโดยเฉพาะ มีการคัดสรรวัตถุดิบอย่างดี เต็มไปด้วยสารอาหารที่แมวหนึ่งตัวควรจะได้รับ 

 

เพราะอาหารที่คนเรากินได้ มองว่ามันอร่อยและน้องแมวเองก็อร่อย ชอบใจทุกครั้งที่ให้อาจไม่ได้ส่งผลดีตามรสชาติที่ได้รับเลย ซ้ำยังอาจเป็นยาพิษ ลดอายุน้องแมวตัวโปรดของคุณไปเรื่อย ๆ ด้วยมือของคุณเอง ดังนั้นหันมาให้ความสำคัญกับอาหารการกินของน้องแมวกันค่ะ เพื่อให้เขาได้มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เล่นสนุก สดใสกับคุณไปยาว ๆ ค่ะ

เคล็ดลับ ควบคุมน้ำหนักแมว

เพราะโรคอ้วนส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ทาสจึงต้อง ควบคุมน้ำหนักแมว ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อร่างกายที่แข็งแรงของเจ้าเหมียว

 

ทำไมต้องควบคุมน้ำหนักแมว

แมวอ้วนตุ๊ต๊ะอาจดูน่ารัก แต่ที่จริงแล้วแมวของคุณกำลังประสบปัญหาโรคอ้วนอยู่ ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อน้ำหนักของแมว ได้แก่ อายุที่เพิ่มมากขึ้น สายพันธ์ุ เพศ ปัญหาสุขภาพ การทำหมัน ไม่ออกกำลังกาย การให้อาหาร และการกินที่มากเกินไป เมื่อน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน จึงเกิดผลกระทบต่อสุขภาพของเจ้าเหมียวไม่ใช่น้อย

  • ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม โรคเบาหวาน นิ่วในทางเดินปัสสาวะ โรคหัวใจ หายใจติดขัด ไขมันพอกตับ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น
  • แมวอ้วนมักขาดความร่าเริง เล่นน้อยลง เหนื่อยง่าย ชอบนอน จนอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า 

เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ในไม่ช้า ทาสแมวจึงต้องควบคุมน้ำหนักแมวไม่ให้น้องอ้วนจนเกินไป ด้วยวิธีที่ถูกต้อง

ควบคุมน้ำหนักแมว

วิธีควบคุมน้ำหนักแมวที่ทาสแมวควรรู้

1.ควบคุมน้ำหนักแมวสิ่งสำคัญอยู่ที่อาหาร

  • อาหารแมวทั่วไปจะให้พลังงานประมาณ 360 – 400 กิโลแคลอรี่ / 100 กรัม ทาสแมวจะต้องควบคุมปริมาณการให้อาหาร โดยให้ในปริมาณที่แนะนำไว้บนบรรจุภัณฑ์ของอาหารแมว และควรชั่งตวงให้ได้ปริมาณที่ถูกต้องแม่นยำ
  • เลือกอาหารแมวที่มีปริมาณโปรตีนสูง พร้อมด้วยวิตามิน และแร่ธาตุ แต่ต้องไขมันต่ำ เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ ส่งเสริมข้อต่อ กระดูก ให้สมบูรณ์แข็งแรง รวมทั้งเพื่อให้ผิวหนังและขนสุขภาพดีด้วย
  • แมวต้องดื่มน้ำให้ปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงแนะนำให้ทาสแมววางน้ำไว้ตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน 
  • หลีกเลี่ยงการให้ขนมแมว และอาหารของคนกับแมว

 

2.ควบคุมน้ำหนักแมวด้วยการออกกำลังกาย

กระตุ้นให้แมวทำกิจกรรม เล่นสนุกกับของเล่น กระโดด ปีนป่าย หรือพาออกไปเดินนอกบ้าน อย่างน้อย 15 นาที 2 ครั้ง / 1 วัน จะช่วยเผาผลาญได้เป็นอย่างดี

 

3.ควบคุมน้ำหนักแมวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ช่างน้ำหนักแมวทุก ๆ 6 เดือนเป็นอย่างต่ำ เพื่อตรวจเช็กการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก หากน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักตัวปกติ 5 % จะต้องปรับอาหารและปริมาณให้เหมาะสม

 

จะเห็นได้ว่า อาหารมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมน้ำหนักแมว ทาสจึงต้องเลือกอาหารให้เหมาะสม อย่าง Buzz Advanced Nutrition อาหารแมวที่อุดมด้วยสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย มีโปรตีนสูง พร้อมด้วยเส้นใยเซลลูโลส และคาร์นิทีน ที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง รวมทั้งช่วยให้ระบบเผาผลาญไขมันดีขึ้น โดยมีให้เลือกหลากหลายสูตร ตอบโจทย์ทาสแมวที่อยากให้เจ้าเหมียวมีรูปร่างที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง

แมวขนร่วงหนักมาก ทำยังไงดี?

แมวขนร่วง เยอะเกินไป ปัญหาหนักใจของเจ้าทาสหลาย ๆ คน ที่อาจจะกำลังกังวลว่าเกิดอะไรกับเหมียวน้อยของคุณหรือเปล่า จะแก้ไขด้วยวิธีไหน วันนี้เรามีคำตอบมาฝากค่ะ 

 

ปัญหา แมวขนร่วง เกิดจากอะไร? 

ปัญหาแมวขนร่วงถือเป็นปัญหาที่คนเลี้ยงแมวหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แต่ก่อนอื่นคุณต้องแยกให้ออกก่อนค่ะ ว่าสิ่งที่น้องแมวเจออยู่เป็นเพียงการผลัดขนตามธรรมชาติ หรือเกิดจากความผิดปกติของเส้นขนและผิวหนังกันแน่ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้แมวขนร่วงจากความผิดปกติมีดังนี้ 

 

  • ผิวหนังติดเชื้อ เป็นสาเหตุที่ส่งตรงต่อเรื่องของขนแมว และผิวหนังมากที่สุด การติดเชื้ออาจเกิดจากเชื้อปรสิต อาทิ หมัด ไร เชื้อรา เชื้อยีสต์ หรือเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งแพทย์จะสามารถทราบสาเหตุได้ทันทีจากการพบตัว หรือไข่ของปริสิตต่าง ๆ ผ่านแผลบนผิวหนัง ผื่นแดง จุดที่ขนร่วงเป็นหย่อม หรือผิวหนังที่ส่งกลิ่นเหม็น
  • อาการแพ้ ไม่ว่าจะเป็นการแพ้สารเคมี แพ้แชมพู หรือแพ้อาหาร สามารถส่งผลต่อผิวหนังและเส้นขนได้ทั้งสิ้น 
  • ความเครียด ปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลแค่กับคน แต่กับสัตว์อย่างน้องแมวก็ทำให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน แมวบางตัวมีภาวะเครียด ระแวง หวาดกลัวกับสิ่งแวดล้อมมากจนเกินไป จึงทำให้คุณเจอทั้งพฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกมาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพ ร่างกาย โดยเฉพาะปัญหาน้องแมวขนร่วงเป็นกระจุก ๆ อีกด้วย 
  • ขาดสารอาหาร การที่น้องแมวขาดสารอาหาร ขาดโภชนาการที่เหมาะสมครบถ้วน ถือเป็นผลเสียที่จะส่งไปตรงยังร่างกายแทบทุกส่วน ตั้งแต่สุขภาพ ร่างกาย การขับถ่าย โรคภัย และความสวยงามของขน
  • สาเหตุอื่น ๆ อาทิ น้องแมวกำลังตั้งครรภ์ หรืออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ

มาแก้ปัญหา แมวขนร่วง กัน 

หากคุณคิดว่าการที่น้องแมวขนร่วงไม่ใช่การผลัดขนตามธรรมชาติ แต่น่าจะมาจากสาเหตุความผิดปกติอื่น แนะนำให้พบสัตวแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป พร้อมกับเสริมด้วยการดูแลเพิ่มเติม ดังนี้

แมวขนร่วง

  • การแปรงขนน้องแมวบ่อย ๆ ช่วยได้ เพราะนอกจากจะเป็นการแปรงเอาขนแมวที่ร่วงกลายเป็นเศษขนส่วนเกินออกแล้ว ยังช่วยกระตุ้นต่อมใต้ผิวหนังของแมวให้ผลิตน้ำมันที่ช่วยบำรุงให้เส้นขนเงางามได้อีกด้วย 
  • ดูแล และระวังเรื่องปรสิต และระวังสารเคมี อาการแพ้ต่าง ๆ 
  • การเลือกอาหารแมวสำคัญที่สุด อาหารแมวที่ดีควรครบในเรื่องคุณค่าทางโภชนาการ อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์แต่น้องแมว เลือก อาหารแมว Buzz สูตร Hair & Skin ตอบโจทย์น้องแมวขนเยอะขนยาว มาพร้อมโภชนาการที่สมดุลต่อร่างกาย บำรุงกระดูก สายตา เสริมภูมิต้านทาน มีการเพิ่มสารอาหารสำคัญอย่างคอลลาเจน เข้ามาช่วยบำรุงเส้นขนและผิวหนังให้สุขภาพดี ขนสวยเงางาม หมดปัญหาน้องแมวขนร่วงแน่นอน

เพื่อให้น้องแมวขนสวย ผิวหนังสุขภาพดี นุ่มนิ่มน่ารักแบบนี้ไปนาน ๆ อาหารมีส่วนสำคัญในการดูแลเขาเป็นอย่างมาก เลือกอาหารแมวคุณภาพสูงที่สามารถส่งเสริมสุขภาพของเขาในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพร่างกาย สุขภาพภายใน ดูแลระบบการขับถ่าย สุขภาพผิวหนัง ขน และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและพลังงานด้วยอาหารแมวจาก บัซซ์ มีทั้งสูตรมาตรฐานเหมาะสำหรับแมวทุกสายพันธุ์ และสูตรคิดค้นพิเศษ สำหรับความต้องการเฉพาะ เพื่อประโยชน์สูงสุดของแมวเหมียวตัวโปรดของคุณ 

เชื้อราแมว โรคผิวหนังที่ติดต่อสู่คนได้

เชื้อราแมว โรคผิวหนังที่เกิดขึ้นได้กับเจ้าเหมียว และสามารถติดต่อสู่คนได้ ทาสแมวจึงต้องดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้กับเจ้าเหมียวของคุณ

 

เชื้อราแมว เกิดขึ้นได้อย่างไร

เชื้อราแมว เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้ในสัตว์เลี้ยงมีขนอย่าง แมว สุนัข กระต่าย เป็นต้น ซึ่งมักพบในแมว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแมวขนยาวมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น ซึ่งเกิดจากเชื้อราที่ชอบความชื้น ไม่ว่าจะเป็น Microsporum canis, Microsporum gypseum หรือ Trichophyton mentagrophyte ล้วนเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคบนผิวหนัง ที่จะพบได้ในเจ้าเหมียวอายุน้อย ป่วยหรือมีโรคประจำตัว และอายุมากทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ เชื้อราพวกนี้จึงจู่โจมได้ง่าย 

 

อาการของโรค เชื้อราแมว

อาการของโรคสังเกตุง่าย ๆ บริเวณผิวหนังของแมวจะแห้ง มีผื่นแดง ผิวหนังลอกเป็นขุย เป็นวง ๆ และมีขนร่วงเป็นหย่อม ๆ โดยแมวจะมีอาการคันร่วมด้วย หากทาสไม่ได้สังเกตอาการผิดปกติดังกล่าว แล้วไปสัมผัส กอด อุ้ม ลูบ หอมเจ้าเหมียว ทาสอย่างเราก็มีโอกาสที่จะติดโรคเชื้อราแมวได้เช่นกัน.

 

เชื้อราแมว

 

เชื้อราแมว ติดสู่คนได้

โดยอาการของคนที่ติดเชื้อราแมว จะมีผื่นแดงขึ้นเป็นวง ตามบริเวณที่ได้สัมผัสกับแมว เช่น มือ แขน ใบหน้า เป็นต้น โดยมักจะมีอาการคันร่วมด้วย หากมีอาการในลักษณะนี้ ทาสแมวควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา โดยการรักษามีทั้งการใช้ยาทาและยากินฆ่าเชื้อรา

 

การรักษา และป้องกันเชื้อราแมว

ส่วนเจ้าเหมียวที่ป่วยด้วยโรคเชื้อราแมว ทาสควรรีบพาน้องไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยเร็ว และต้องป้องกันไม่ให้เจ้าเหมียวป่วยอีก ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • พาเจ้าเหมียวไปฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อราแมว และตรวจสุขภาพเป็นประจำ
  • อาบน้ำให้เจ้าเหมียวอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ด้วยแชมพูที่ช่วยฆ่าเชื้อรา และเป่าขนให้แห้งสนิททุกครั้ง
  • ทำความสะอาดบริเวณที่แมวอยู่ให้สะอาด ไม่อับชื้น โดยคุณสามารถฆ่าสปอร์ของเชื้อราแมวที่หลุดร่วง ซึ่งอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี ด้วยสารฟอกขาวละลายน้ำในอัตราส่วน 1 ต่อ 10
  • ทาสต้องไม่คลุกคลีกับเจ้าเหมียวมากเกินไป และอย่าลืมล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้อง

 

และท้ายที่สุด เสริมสร้างสุขภาพที่ดีจากภายใน เพื่อภูมิต้านทานร่างกายที่แข็งแรงให้เจ้าเหมียวที่คุณรักห่างไกลจากโรคเชื้อราแมว ด้วย Buzz Advanced Nutrition สูตรบำรุงเส้นขนและผิวหนัง อาหารแมวที่ประกอบด้วยวิตามิน และสารอาหารจำเป็นครบถ้วน พร้อมเสริมด้วยคอลลาเจน ที่ช่วยให้เจ้าเหมียวมีสุขภาพผิวหนังที่ดี และขนที่เงางาม

 

อยากรับ แมวจร มาเลี้ยง ต้องเริ่มดูแลอย่างไร

การรับ แมวจร เข้ามาเป็นอีกหนึ่งสมาชิกคนสำคัญในบ้าน ต้องเริ่มดูแลเขาอย่างไร? วันนี้มีวิธีมาฝากค่ะ 

ถือเป็นน่ายินดีที่ได้ยินที่ไรก็ปลื้มใจทุกครั้ง เพราะน้องแมวจร 1 ตัวจะได้มีเจ้าของ จะได้รับการดูแล ได้รับความรัก กินอิ่ม นอนหลับได้เหมือนกับแมวบ้านตัวอื่น ๆ แต่เพราะแมวจรที่เราเจอ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าที่มาที่ไปของเขาเป็นอย่างไร พ่อแม่แมวเป็นใคร ร่างกายแข็งแรงดีหรือไม่ เคยโดนทำร้าย มีบาดแผล หรือติดโรคอะไรมาหรือเปล่า รวมไปถึงการปรับตัวต่าง ๆ ที่ต้องทำให้น้องแมวชินกับคนมากขึ้น ลดความระแวง ความหวาดกลัวที่ติดมากับนิสัยแมวจรลง สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่เจ้าของทั้งมือเก่า มือใหม่ในการเลี้ยงแมว จำเป็นต้องให้ความสำคัญ แต่ไม่ได้ยากเกินใจทาสแมวอย่างแน่นอน 

 

อยากรับแมวจรมาเลี้ยง ต้องเริ่มดูแลอย่างไร 

การเปลี่ยนแมวจรให้กลายมาเป็นแมวบ้าน มีความแตกต่างในช่วงเริ่มต้น ที่ทาสแมวต้องใส่ใจในสุขภาพกายและสุขภาพใจของน้องมากเป็นพิเศษ เพื่อให้น้องแมวสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เข้ากับคนในบ้านมากที่สุด สิ่งที่ควรทำเบื้องต้นมีดังนี้ 

แมวจร

ต้องแน่ใจว่าน้องแมวจรไม่ติดโรคอะไรมา : แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาก็ต้องพเนจรไปทั่วจนเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าน้องเป็นแมวที่หลุดมา หลงมา หรือเป็นแมวจรตั้งแต่เกิด เคยได้รับวัคซีนไหม? รับครบหรือเปล่า เคยได้เข้ารับการเจาะเลือดเพื่อตรวจโรคหรือไม่ เบื้องต้นจึงควรพาแมวจรไปเจาะเลือดตรวจโรค ตรวจสุขภาพ ถ่ายพยาธิ และเริ่มฉีดวัคซีนพื้นฐานกับสัตวแพทย์ การตรวจโรคให้แน่ใจก่อนนอกจากจะทำให้คุณสามารถรักษาเขาได้อย่างทันทีหากมีปัญหาแล้ว ยังช่วยป้องกันโรค ไม่ให้ติดแมวตัวอื่น ๆ ที่เลี้ยงอยู่แล้วในบ้านได้อีกด้วย 

กระชับพื้นที่น้องแมวก่อน : ในช่วงที่พึ่งรับน้องเข้ามาเลี้ยงใหม่ ๆ แนะนำให้กักบริเวณน้องในช่วง 3 – 5 วันแรกก่อน ในห้องหรือกรงที่กักบริเวณควรมีน้ำ อาหาร กระบะทรายให้พร้อม ระหว่างที่กักบริเวณอย่าลืมสังเกตอาการต่าง ๆ ของน้องแมวเพิ่มเติมด้วย เช่น กินอาหาร ขับถ่ายตามปกติไหม ถ่ายเป็นอย่างไร มีน้ำมูกหรือขี้ตาแฉะหรือไม่ หลังจากครบ 3 – 5 วัน คอยปล่อยให้น้องเริ่มสำรวจบ้านในส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติม การที่จะให้เขาปรับตัวให้คุ้นชินต้องใช้เวลาค่ะ 

ปรับพฤติกรรมแมว : หากเป็นแมวเด็ก เจ้าทาสอาจจะต้องสอนวิธีการใช้กระบะทรายเขาซะหน่อย หากน้องมีทีท่าว่ากำลังจะเบ่งขับถ่ายให้อุ้มเขาลงกระบะทรายทันที ทำเรื่อย ๆ 2 – 3 ครั้ง น้องแมวก็จะเรียนรู้ได้เองอัตโนมัติ ส่วนทาสแมวคนไหนที่รับน้องแมวจรที่เริ่มโตแล้วมาเลี้ยง ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เจ้าพวกนี้ส่วนใหญ่รู้ได้ด้วยตัวเอง 

นอกจากนี้ในช่วงแรกเริ่มที่เอาแมวจรเข้าบ้านมา อย่าพึ่งจับน้องอาบน้ำโดยเด็ดขาด ปล่อยให้เขาได้ปรับตัวกับสถานที่ และคุ้นชินกับคุณเสียก่อนค่ะ  แต่หากใครอดใจไม่ไหวในความสกปรกของน้องแมว อาจจะใช้กระดาษทิชชูเปียก หรือโฟมอาบน้ำแบบแห้งเช็ดตัวก่อนก็ได้ 

 

ดูแลสุขภาพน้องแมวต่อด้วยอาหารดี ๆ 

ปัญหาของน้องแมวจร รองมาจากเรื่องการตรวจหาโรค นั้นก็คือเรื่องของโภชนาการ ร่างกายผอมแห้งเพราะขาดสารอาหารเนี่ยละ วิธีแก้ไขนอกจากการเข้ารักษากับสัตวแพทย์ (ในกรณีขาดสารอาหารอย่างหนัก) การดูแลอาหารการกิน ปรับสมดุลให้สุขภาพของเขากลับมาสมบูรณ์แข็งแรงให้ได้มากที่สุดจึงเป็นเรื่องสำคัญ แนะนำให้เลือกอาหารแมวที่มีการคิดค้นสำหรับสุขภาพของน้องแมวโดยเฉพาะอย่างอาหารเเมวบัซซ์ Advance Nutrition อาหารแมวสูตรคิดค้นพิเศษ ใช้สารอาหารและวิตามินเฉพาะ ตอบโจทย์สำหรับสุขภาพน้องแมวมากที่สุด มีให้เลือกหลายสูตรตามความต้องการ ตั้งแต่สูตรแมวผอม ต้องการเพิ่มน้ำหนัก สูตรสำหรับลูกแมวและแม่แมวท้อง สูตรเน้นบำรุงผิวหนัง ขนโดยเฉพาะ รวมไปถึงสูตรลดกลิ่นมูลของแมว สำหรับแมวที่เลี้ยงในบ้าน เลือกให้เหมาะกับปัญหาที่น้องแมวจรตัวใหม่ของคุณกำลังเจอ 

 

การรับแมวจรเข้ามาเลี้ยง มีเพียงความแตกต่างในช่วงแรกเท่านั้น หากน้องได้รับการตรวจเลือด เช็กสุขภาพเป็นที่เรียบร้อย บวกกับแมวเริ่มคุ้นชินกับคุณและสภาพแวดล้อมภายในบ้าน เพียงเท่านี้การเลี้ยงเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แถมคุณจะรัก จะหลงเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นน้องแมวแล้ว ดีกรีความขี้อ่อนไม่แพ้ใครแน่นอน

ฉีดวัคซีนแมว สิ่งสำคัญที่ทาสแมวต้องทำ

ฉีดวัคซีนแมว เป็นเรื่องสำคัญที่ทาสแมวละเลยไม่ได้ เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้เจ้าเหมียวมีสุขภาพที่ดี อยู่เป็นเพื่อนกันไปนาน ๆ

 

การฉีดวัคซีนแมว สำคัญอย่างไร

ฉีดวัคซีนแมว เป็นเหมือนการฉีดเชื้อโรคที่อ่อนแรงเข้าไป เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคนั้น ๆ ซึ่งมักเป็นโรคร้ายแรงที่รักษาได้ยาก หรือรักษาไม่ได้ เช่น โรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้หัดแมว โรคลำไส้อักเสบในแมว เป็นต้น การฉีดวัคซีนแมวจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยปกป้องเจ้าเหมียวจากโรคต่าง ๆ โดยวัคซีนแมวแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

 

ฉีดวัคซีนแมว ต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง ? 

1.ฉีดวัคซีนแมวต้องฉีดวัคซีนหลัก

แมวทุกตัวต้องฉีดวัคซีนหลัก เพื่อป้องกันโรคเหล่านี้ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง

  • วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
  • วัคซีนเชื้อเฮอร์ปีส์ไวรัส – 1 
  • วัคซีนเชื้อแคลิซิไวรัสแมว
  • วัคซีนเชื้อไวรัสไข้หัดแมว

2.ฉีดวัคซีนแมวอาจต้องฉีดวัคซีนทางเลือก

แมวบางตัวอาจต้องฉีดวัคซีนทางเลือก ในกรณีที่แมวมีความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อ และอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง

  • วัคซีนไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องในแมว
  • วัคซีนลิวคีเมียไวรัส ( บางแหล่งจัดเป็นวัคซีนหลัก )
  • Chlamydia felis 
  • Bordetella bronchiseptica

3.ฉีดวัคซีนแมวก็มีวัคซีนที่ไม่แนะนำให้ฉีดด้วย

ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนที่มีผลข้างเคียงรุนแรง หรือกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคไม่ชัดเจน

ดังนั้น การฉีดวัคซีนแมวทุกครั้ง ทางที่ดีควรอยู่ในความดูแลของสัตวแพทย์ เพื่อความปลอดภัยของเจ้าเหมียว เพราะสัตวแพทย์จะสามารถประเมินความเสี่ยง ช่วงวัยที่เหมาะสม ชนิดของวัคซีน และกำหนดโปรแกรมการฉีดวัคซีนของแมวแต่ละตัวได้ดีที่สุด

ฉีดวัคซีนแมว ต้องฉีดเมื่อไหร่

ทาสแมวมือใหม่หลายคนคงมีคำถามว่า แล้วต้องพาเจ้าเหมียวไปฉีดวัคซีนเมื่อไหร่ ? วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณแล้ว

วัคซีนแมว

ในช่วงแรกเกิด ลูกแมวจะได้รับภูมิคุ้มกันจากนมแม่ แต่หลังจากหย่านม ภูมิคุ้มกันจากแม่จะค่อย ๆ ลดลง ลูกแมวจึงต้องได้รับวัคซีน ดังนั้น ในการฉีดวัคซีนครั้งแรก ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนหลัก แมวจะต้องมีอายุประมาณ 7 – 9 สัปดาห์ หรือราว 2 เดือน จึงสามารถพามาฉีดได้ และควรฉีดครั้งที่ 2 ใน 3 – 5 สัปดาห์หลังจากนั้น 

  • ฉีดวัคซีนแมวอายุ 8 สัปดาห์ ( วัคซีนเข็มแรก ต้องฉีดกระตุ้นซ้ำ 1 – 2 ครั้ง )

ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หัด หวัดแมว และโรคระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และลิ้นอักเสบ

  • ฉีดวัคซีนแมวอายุ 11 สัปดาห์

ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หัด หวัดแมว และโรคระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และลิ้นอักเสบ

  • ฉีดวัคซีนแมวอายุ 14 สัปดาห์

ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หัด หวัดแมว และโรคระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และลิ้นอักเสบ

  • ฉีดวัคซีนแมวอายุ 17 สัปดาห์

ฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า (ครั้งที่ 1 )

  • ฉีดวัคซีนแมวอายุ 20 สัปดาห์

ฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า (ครั้งที่ 2 )

ในทุก ๆ 1 ปี แมวจะต้องได้รับการฉีดกระตุ้นวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า ไข้หัด หวัดแมว โรคระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และลิ้นอักเสบ ทั้งนี้ โปรแกรมการฉีดวัคซีนแมวจะปรับเปลี่ยนตามดุลพินิจของสัตวแพทย์

 

การฉีดวัคซีนแมว จึงเป็น 1 วิธี ในการดูแลสุขภาพของเจ้าเหมียวให้ปลอดภัย ห่างไกลโรค แมวทุกตัวจึงต้องได้รับการฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี แต่นอกจากการได้รับวัคซีนแล้ว การดูแลสุขภาพของเจ้าเหมียวด้วยการเลือกอาหารแมวคุณภาพดี ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน ทาสแมวจึงต้องเลือกสรรอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนให้เจ้าเหมียว อย่าง Buzz Balance Nutrition อาหารแมวที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็น มีโซเดียมต่ำ ไม่มีสีสังเคราะห์ และสารกันบูด เพื่อสุขภาพที่ดีของแมวที่คุณรัก 

 

ดูแลแมวท้อง ให้สุขภาพดี ต้องทำอย่างไร

ดูแลแมวท้อง ทาสอย่างเราต้องทำอย่างไร เมื่อเจ้าเหมียวของคุณอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ และกำลังติดสัด ซึ่งในช่วงเวลา 4 – 6 วัน มีความเสี่ยงอย่างมากที่เจ้าเหมียวจะตั้งท้อง

 

เมื่อต้องดูแลแมวท้อง

สัญญาณที่บ่งบอกถึงการตั้งท้องของเจ้าเหมียว คือ กินและนอนบ่อยขึ้น หัวนมขยายตัว อาจมีน้ำนมไหลออกมา อีกทั้งช่วงท้องจะกลมและมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเจ้าเหมียวมีลักษณะเช่นนี้ ทาสก็เตรียมตัวอุ้มหลานได้เลย

โดยในการดูแลแมวท้องนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทาสต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตั้งท้องของแมวเสียก่อน ซึ่งแมวจะใช้เวลาในการตั้งท้องประมาณ 65 วัน โดยเฉลี่ย หรือราว 9 สัปดาห์ ในช่วงเวลาตั้งท้องของแมวจะเป็น 3 ช่วง โดยใน 2 ช่วงแรก แมวจะมุ่งเน้นเพิ่มไขมันเพื่อลูกแมวในท้อง และช่วงสุดท้าย จะเป็นช่วงที่น้ำหนักแม่แมวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเจริญเติบโตของลูกแมว

ดูแลแมวท้อง

เริ่มต้นดูแลแมวท้อง

 

  • ดูแลแมวท้อง ต้องพาไปพบสัตวแพทย์

เมื่อพบสัญญาณแห่งการตั้งท้อง ควรพาเจ้าเหมียวไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจเช็กร่างกาย และยืนยันการตั้งท้อง หากตั้งท้องทาสจะต้องพาเจ้าเหมียวมาพบสัตวแพทย์เป็นประจำตามนัด

 

  • ดุแลแมวท้อง ต้องเน้นเรื่องอาหาร

แมวท้องต้องการพลังงานสูง เพื่อการเจริญเติบโตของลูกแมวในท้อง และการผลิตน้ำนม เราจึงต้องเลือกอาหารสำหรับแมวท้องหรืออาหารลูกแมวโดยเฉพาะ เนื่องจากอาหารประเภทนี้จะมีสารอาหารจำเป็นสำหรับแม่และลูกแมวครบถ้วน อีกทั้งยังเคี้ยวและย่อยง่ายด้วย โดยในช่วงตั้งท้องควรให้อาหารแมวในปริมาณเพิ่มขึ้น 20 – 25 % จากปริมาณเดิมที่เคยให้

 

  • ดูแลแมวท้อง อย่าลืมควบคุมน้ำหนัก 

การชั่งน้ำหนักแมวเป็นประจำ และควบคุมปริมาณอาหารให้เหมาะสม จะช่วยแก้ปัญหาแมวน้ำหนักเกินในช่วงตั้งท้องได้ เพราะน้ำหนักที่มากเกินไปจะนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอดลูกได้ โดยน้ำหนักแม่แมวขณะตั้งท้องไม่ควรเพิ่มเกิน 40 % ของน้ำหนักตัวเดิม

 

  • ดูแลแมวท้อง ต้องเตรียมพร้อมเมื่อแมวจะคลอดลูก

จัดสถานที่ภายในบ้านให้เหมาะสม เพื่อให้แมวเลือกคลอดในพื้นที่ที่ปลอดภัย เช่น เตรียมกล่อง พร้อมผ้ารอง ตั้งไว้บริเวณที่สะอาด ไม่มีคนรบกวน และอบอุ่น พร้อมเตรียมอาหาร และน้ำไว้ใกล้ ๆ บริเวณนั้นด้วย แต่ถ้าใครกลัวจะเกิดปัญหาระหว่างคลอดหากให้แมวคลอดเองตามธรรมชาติ เราก็แนะนำให้พาเจ้าเหมียวมาคลอดในความดูแลของสัตวแพทย์ โดยควรพามาพบสัตวแพทย์ในช่วง 1 – 2 สัปดาห์ ก่อนคลอด เพื่อการคลอดที่ปลอดภัย

 

จะเห็นได้ว่า การดูแลแมวท้องไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ทาสอย่างเราจะต้องใส่ใจเรื่องที่อยู่อาศัย น้ำหนักตัว และอาหารการกินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเลือกให้อาหารสำหรับแม่แมวตั้งท้องโดยเฉพาะ อย่าง Buzz Advanced Nutrition สูตรลูกแมว และ แม่เเมวตั้งท้อง ถือเป็นทางเลือกที่ดี ที่จะช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตของลูกแมว และ บำรุงแม่แมวให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนในช่วงตั้งท้องและให้นมลูก ได้ในเวลาเดียวกัน

รวม อาหารอันตรายต่อแมว ที่เจ้าทาสควรรู้

อาหารอันตรายต่อแมว เรื่องใหญ่ที่เจ้าทาสอย่างเราต้องรู้ และทำความเข้าใจให้ดี เพราะอาหารบางอย่าง หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบเล็ก ๆ น้อย ๆ บางประเภทที่เรามองว่าส่งผลดีต่อร่างกายมนุษย์ อาจจะไม่ได้เป็นผลดีกับร่างกายของน้องแมว ซ้ำร้ายกว่านั้นอาจจะกลายเป็นโทษรุนแรงถึงขั้นชีวิตเลยก็มี ซึ่งคุณเองก็คงไม่ได้อยากเป็นคนหยิบยื่นยาพิษเหล่านี้ให้น้องแน่ ๆ ดังนั้น เรามาทำความเข้าใจ “อาหารอันตรายต่อแมว” กันค่ะ ว่ามีสิ่งไหนที่แมวเหมียวกินไม่ได้ เข้าขั้นอันตราย หรือสิ่งไหนที่กินได้แต่ควรหลีกเลี่ยงบ้าง พร้อมทั้งเจาะลึกว่าอาหารต้องห้ามแต่ละอย่าง ให้โทษส่งผลต่อร่างกายน้องแมวอย่างไร มาดูกัน 

ห้ามเด็ดขาด อาหารอันตรายต่อแมว 

เพราะร่างกายของน้องแมว โดยเฉพาะระบบย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ มีความแตกต่างกับมนุษย์และสัตว์ประเภทอื่น บางอย่างที่เป็นประโยชน์กับเรา อาจจะส่งผลร้ายกับน้องแมวถึงขั้นเสียชีวิต สำหรับอาหารอันตรายต่อแมวที่ห้ามอย่างเด็ดขาด จะมีดังนี้ 

อาหารอันตรายต่อแมว

ช็อกโกแลต : เรื่องนี้ไม่ใช่แค่กับน้องหมาเท่านั้น แต่น้องแมวเหมียวก็ด้วย สำหรับช็อกโกแลตของหวานสุดโปรดของใครหลาย ๆ คน แต่กลายเป็นสิ่งต้องห้ามจนเปรียบเสมือนยาพิษของเหล่าสัตว์ต่าง ๆ ภายในช็อกโกแลตมีสาร “Theobromine” สารอันตรายที่ส่งผลต่อการโดยตรงต่อระบบหายใจ หากแมวได้รับจะมีอาการหายใจถี่ผิดปกติ คลื่นไส้ กระสับกระส่าย หรือมีอาการท้องเสียร่วมด้วย ช็อกโกแลตไม่กี่มิลลิกรัม สามารถทำให้น้องกลับดาวแมวได้เลย และยิ่งหากเป็นตัวดาร์กช็อกโกแลตด้วยแล้ว ความเข้มข้มของสาร Theobromine มีสูงมาก เท่ากับเพิ่มความอันตรายอีกเท่าตัว 

มะเขือเทศ : สงสัยกันแน่ ๆ ว่ามะเขือเทศเนี่ยนะหรอ? ส่งผลร้ายกับน้องแมว บอกเลยว่าส่งผลมากกว่าที่คิดค่ะ ภายในมะเขือเทศจะมีสารอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่า “กลีโคอัลคาลอยด์ โซลานีน” หากแมวได้รับเข้าไปแล้วจะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ มีโอกาสช็อก และเสียชีวิตได้ทันที อันตรายมาก 

อาหารอันตรายต่อแมว เลี่ยงได้ต้องเลี่ยง 

สำหรับอาหารบางชนิดอาจไม่ได้เป็นอันตรายต่อน้องแมวรุนแรงถึงขั้นชีวิตแบบเฉียบพลัน แต่ถ้าไม่หลีกเลี่ยง หรือระวังเป็นพิเศษละก็ ส่งผลต่อสุขภาพในอนาคตของน้องอย่างแน่นอน่นกัน สำหรับอาหารอันตรายต่อแมวที่ควรเลี่ยง มีดังนี้ 

อาหารปรุงของคน : อาหารที่ผ่านการปรุงแบบที่คนกิน โดยเฉพาะอาหารประเภททอดจะนำพาน้องไปสู่การเป็นโรคมะเร็ง โรคไต ในอนาคตได้ง่ายกว่าเดิมอย่างแน่นอน เพราะร่างกายของแมวไม่มีระบบขับถ่าย หรือตัวช่วยคัดกรองสารก่อมะเร็งได้เท่ากับคน พอร่างกายต้องทำงานอย่างหนักเพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้บ่อย ๆ เข้าก็จะเสื่อมไปตามสภาพ 

ปลาดิบ ไข่ดิบ : การให้น้องแมวกินอาหารดิบเป็นระยะเวลานาน ๆ จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดวิตามิน B, B1 ซึ่งส่งผลต่อปัญหาผิวหนัง ท้องเสีย อาหารเป็นพิษจากแบคทีเรีย น้องแมวบางรายอาจถึงขั้นช็อกหมดสติ และเสียชีวิตได้ในที่สุด 

ยีสต์ : เมนูที่มีส่วนผสมของยีสต์โดยเฉพาะขนมปังต่าง ๆ อาจทำให้แมวเกิดอาการปวดท้อง ภูมิแพ้ อาจเป็นสาเหตุของอาการผิวหนังอักเสบได้ 

ตับ : สำหรับเรา “ตับ” อาจจะเป็นเมนูที่มีประโยชน์ในด้านธาตุเหล็กมาก แต่สำหรับแมวแล้วกลับให้โทษมากกว่า เพราะจะส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินเอในร่างกายของน้องแมว ทำให้เกิดกระดูกเปราะ และยังมีผลต่อการเจริญเติบโตของมดลูกอีกด้วย

ลูกเกด องุ่น : เจ้าผลไม้รสชาติหวานอมเปรี้ยวของโปรดของใครหลาย ๆ คนเนี่ยละ ถือเป็นยาพิษแบบผ่อนส่งให้นอนแมวกลับไปวิ่งเล่นดาวแมวอย่างสงบมานักต่อนักแล้ว สารบางอย่างในองุ่นจะทำให้แมวเหมียวเกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง ยิ่งหากได้รับในปริมาณมาก ๆ หรือมีแพ้อาหารประเภทนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน ความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

เพราะเรื่องของอาหาร คุณค่าทางโภชนาการต่าง ๆ เจ้าของอย่างเราคือผู้หยิบยื่นให้เขาเต็ม ๆ น้องแมวจะสุขภาพดี ได้รับโภชนาการที่ครบถ้วน หรือป่วยง่าย สุขภาพไม่แข็งแรง จะเป็นอย่างไรส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้ว นอกจากการทำความเข้าใจธรรมชาติของแมว ให้ความรัก ความเอาใจใส่ เรียนรู้ว่าอะไรที่เป็นอาหารอันตรายต่อแมวแล้ว เรื่องโภชนาการจากอาหารที่ต้องครบถ้วน อยู่ในปริมาณเหมาะสม แม่นยำตามที่แมวสุขภาพดีซักตัวจะต้องมี ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด มอบความรักให้เขาผ่านอาหารแมวที่เข้าใจแมวมากที่สุดอย่าง Buzz Pet Food ผ่านการวิจัย คัดสรรวัตถุดิบที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์กับสุขภาพร่างกาย ทั้งภายในและภายนอกมากที่สุด เพื่อให้เขาคงความสดใส ร่าเริง เล่นสนุกอยู่กับคุณได้ในทุก ๆ วัน 

แมวร้องตอนกลางคืน ปัญหากวนใจที่คุณแก้ได้

แมวร้องตอนกลางคืน ปัญหาโลกแตกของคนเลี้ยงแมวที่ทำเอาเวลานอนพักผ่อนของคุณต้องหายหด ตื่นเช้ามาแบบไม่สดใสยังไม่พอ ต้องเสี่ยงต่อการโดนเสียงด่าตามหลังจากคนข้างบ้านในยามดึกอีกด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าปัญหาแมวร้องตอนกลางคืนจะเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไขไม่ได้เลยซะทีเดียว เพียงแต่คุณต้องรู้จัก เข้าใจกับธรรมชาติของน้องแมวให้มากขึ้นก่อน เพื่อให้เราสามารถแก้ปัญหาความงอแงของน้องแมวที่ไม่ยอมหลับยอมนอนในตอนกลางคืนได้อย่างตรงจุดมากที่สุด 

 

แมวร้องตอนกลางคืน เกิดจากอะไร? 

ก่อนอื่นมาเข้าใจธรรมชาติของน้องแมวก่อน แมวเป็นสัตว์ที่มีเลือดนักล่าและเป็นทั้งผู้ถูกล่าอยู่ด้วยกัน นิสัยโดยปกติจะชอบนอนในเวลากลางวัน ใช้เวลานาน 16 – 20 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว แต่จะตื่นออกหากินในเวลากลางคืน หากไม่มีการฝึกน้อง เขาก็จะส่งเสียงร้องกวนคุณในช่วงกลางคืนตามสัญชาติของเขานั้นแหละ 

แต่การที่แมวร้องตอนกลางคืน ไม่ได้เป็นเพียงสัญชาติญาณ อยากร้องก็ร้องเพียงอย่างเดียวนะ แต่ในทุกเวลาที่เขาร้องล้วนมีสาเหตุ เช่น แมวหิวในช่วงเวลากลางคืน พลังงานเหลือล้นอยากเล่นกับเจ้าของ น้องแมวเข้าใกล้ช่วงเวลาติดสัด หรือมีปัญหาสุขภาพ เป็นต้น 

 

แก้ปัญหาอย่างไร? เมื่อแมวร้องตอนกลางคืน

หลังจากที่คุณสังเกตน้องแมวในเบื้องต้นไปแล้วว่าการที่แมวร้องตอนกลางคืนเกิดขึ้นจากอะไร เป็นที่สัญชาติญาณความงอแงของเขาเอง ไม่ได้เกิดจากอาการติดสัด หรือปัญหาสุขภาพแต่อย่างใด ก็ต้องมาแก้ไข ปรับ Timezone เวลาชีวิตของน้องแมวให้เหมาะกับเราแทน 

เล่นกับแมว – เพิ่มกิจกรรมช่วงกลางวันให้มากขึ้น : วิธีที่จะให้แมวเข้านอนพร้อมเราได้อย่างแรกคือให้เขาใช้พลังงานเยอะ ๆ ในช่วงเวลากลางวันและเย็น คุณอาจจะเพิ่มกิจกรรมให้น้องแมวได้ตื่นตัว เล่นสนุกในเวลากลางวัน หรือเล่นกับแมวให้เขาได้ออกแรงในช่วงเย็น หลังจากที่เขาใช้พลังเยอะ ๆ ก็จะเหนื่อยและเข้านอนพร้อมคุณในเวลากลางคืนเอง ถือเป็นการลดปัญหาแมวร้องตอนกลางคืนไปได้อีกทาง 

แมวร้องตอนกลางคืน

เพิ่มสมาชิกอีกตัว : ไม่ใช่วิธีที่จะแนะนำทุกคน การจะแก้ปัญหาด้วยข้อนี้ต้องดูก่อนว่ามีความพร้อมหรือเปล่า อยากเลี้ยงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วหรือไม่ มีความพร้อมในด้านกำลังทรัพย์ พื้นที่ และเวลาในการเลี้ยงมากแค่ไหนก่อน ซึ่งการมีน้องแมวอยู่เป็นเพื่อนกันในช่วงเวลากลางคืนเข้าจะเล่นสนุกกันเองมากกว่าที่จะร้องเสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของ 

ให้อาหารแมวก่อนเวลาเข้านอน : หากแมวตัวแสบของคุณร้องตอนกลางคืนทุกครั้งเพราะหิว ให้ลองปรับเวลาให้อาหารของเขาอีกซักนิด แบ่งมาให้ในช่วงหัวค่ำ หรือก่อนเข้านอนซักนิด เพื่อให้เขาอิ่มท้อง ไม่ต้องเป็นแมวร้องตอนกลางคืนกวนทั้งคุณและคนรอบข้าง โดยคุณอาจจะเลือกอาหารแมวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอย่าง Buzz Advanced Nutrition สูตรสำหรับแมวโตเต็มวัยเลี้ยงในบ้าน ส่วนประกอบหลักเป็นเนื้อสัตว์จากสัตว์ปีก ปลา แหล่งโปรตีนสำคัญ พร้อมทั้งอุดมไปด้วย Omega 3 และ 6 ฟรุกโตโอลิโกแซ็กคาไรด์ช่วยย่อยอาหาร มี L-Carnitine ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและกระดูกให้แข็งแรงรวมถึงช่วยระบบการเผาผลาญไขมันให้ดีขึ้น ผลิตภัณฑ์มีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมอง ปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีสารสกัด Yucca schidigera ซึ่งเป็นส่วนผสมจากธรรมชาติที่เข้ามาช่วยลดกลิ่นอุจจาระของแมวโดยเฉพาะ 

 

เพียงเท่านี้ทาสแมวทั้งหลายก็สามารถแก้ปัญหาแมวร้องตอนกลางคืนได้แล้วโดยไม่จำเป็นต้องขังกรง กักบริเวณซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ มีแต่จะทำให้น้องแมวร้องหนักขึ้น ก้าวร้าวมากขึ้้นด้วย แต่ในกรณีที่น้องแมวยังร้องเรียกคุณอยู่ ไม่ว่าจะเพราะหิวกลางดึกหรือชวนเล่นอีกก็ตาม เราอยากให้เจ้าทาสทั้งหลายใจแข็งเข้าไว้ เพื่อให้เขาได้รู้เวลา ไม่นิสัยเสียจากความเข้าใจผิด ๆ ว่าการร้องเสียงดัง หรือกระโดดขึ้นมาปลุกคุณจะทำให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่อย่างงั้นเวลานอนอันแสนสงบสุขของคุณจะไม่มีอีกต่อไปอย่างแน่นอน 

ดูแลแมวแก่ ทาสอย่างเราต้องทำอย่างไร

ดูแลแมวแก่ เพื่อนรักที่อยู่กับเรามานาน ให้มีสุขภาพดีและแข็งแรงนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทาสแมวต้องเอาใจใส่ ไม่ปล่อยปละละเลยเท่านั้นเอง

 

แมวอายุกี่ปี ถึงเรียกว่าดูแลแมวแก่

ดูแลแมวแก่ ก็เหมือนการดูแลผู้สูงอายุย่อมมีความแตกต่างจากการดูแลในช่วงแรก ๆ ที่นำเขามาเลี้ยงอยู่แล้ว เพราะอายุที่มากขึ้นจึงมักจะนำพาหลายปัญหาตามมาด้วย  แมวแก่จึงเป็นช่วงอายุที่ต้องการการดูแลมากเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารการกิน สิ่งแวดล้อม และการใส่ใจในเรื่องสุขภาพ แล้วเจ้าเหมียวของคุณอยู่ในวัยสูงอายุหรือยัง ? เราสามารถรู้ได้ จากการแบ่งช่วงวัยของแมว สามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ดังนี้  

  • ช่วงโตเต็มวัย 7 – 10 ปี
  • ช่วงสูงวัย 11 – 14 ปี
  • ช่วงวัยชรา 15 ปีขึ้นไป โดยแมวอายุ 10 ปี จะเท่ากับคนอายุ 56 ปี 

สัญญาณที่บ่งบอกว่าเจ้าเหมียวเข้าสู่ช่วงสูงวัยแล้ว คือ การดมกลิ่น รับรส และการได้ยินของเขาจะลดประสิทธิภาพลง มีปัญหาช่องปากและฟันมากขึ้น เช่น ฟันหลอ ฟันสึก ข้อต่อมีความยืดหยุ่นน้อยลงจึงมักเกิดปัญหาในยามที่ต้องเคลื่อนไหว เดินกะเพลก ปัญหาผิวหนังและขน ขนซีดลง หยาบกระด้าง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง หรือแสดงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น นอนเยอะ ไม่เล่น ไม่เลียขน ซึ่งแมวแต่ละตัวจะแสดงสัญญาณแห่งความสูงวัยไม่เหมือนกัน 

 

ดูแลแมวแก่

ดูแลแมวแก่ ต้องทำอย่างไร

  • ดูแลแมวแก่ ต้องพาไปพบสัตวแพทย์เป็นประจำ

เมื่อแมวเข้าสูงช่วงสูงวัยตั้งแต่อายุ 10 ปีขึ้นไป ทาสแมวควรพาน้องไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หากตรวจพบโรคต่าง ๆ จะได้รักษาได้ทันเวลา โดยโรคส่วนใหญ่ที่พบจะเกิดจากความเสื่อมสภาพของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น

  • โรคเบาหวาน เป็นหนึ่งในโรคที่เกี่ยวกับฮอร์โมน โดยอาการที่แสดงออก คือ แมวจะกินน้ำมาก ปัสสาวะมาก กินอาหารเยอะแต่น้ำหนักลด
  • โรคไขข้ออักเสบ ทำให้เจ็บเวลาเคลื่อนไหว แมวจึงทำกิจกรรมที่เคยทำเป็นประจำน้อยลง เช่น การเที่ยวนอกบ้าน การเล่นสนุก เป็นต้น
  • โรคไฮเปอร์ไทรอยด์ เกิดจากต่อมไทรอยด์ผลิตหรือรับฮอร์โมนไทร์ออกซินมากเกินไป อาการที่บ่งบอก คือ ขนเริ่มหยาบกระด่าง  แมวกินอาหารปกติ หรือมากกว่าปกติแต่น้ำหนักลด กินน้ำเยอะ ปัสสาวะบ่อย
  • โรคปริทันต์ ปัญหาฟันและเหงือกที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งสร้างผลกระทบต่อการกินอาหารทำให้น้ำหนักลด น้ำลายยืด ปากปิดไม่สนิท ปากมีกลิ่นเหม็นรุนแรง
  • โรคไต เกิดจากภาวะไตเสื่อมหรือได้รับบาดเจ็บ โดยโรคนี้มักแสดงอาการไม่ชัดเจน คือ กินน้ำเยอะ ปัสสาวะเยอะ น้ำหนักลด โลหิตจาง มีแผลในปาก ซึ่งลักษณะอาการคล้ายกับโรคอื่น ๆ ที่กล่าวมา
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด อาการที่มักสังเกตได้คือ แมวจะไม่เล่น เซื่องซึม เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก น้ำหนักลด 
  • โรคมะเร็ง มีสาเหตุและอาการที่หลากหลายขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่พบเซลล์มะเร็ง

เพราะโรคเหล่านี้มีโอกาสพัฒนาเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เราจึงห้ามลืมที่จะพาเจ้าเหมียวไปตรวจเช็กสุขภาพอย่างเด็ดขาด ซึ่งหากพบอาการที่บ่งบอกโรคใดโรคหนึ่ง ต้องรีบพาน้องไปพบสัตวแพทย์ทันที ทั้งนี้ ถ้าเจ้าเหมียวมีประวัติเคยรักษาโรคหรือมีความเสี่ยง ทาสแมวควรพาน้องไปตรวจสุขภาพทุก ๆ 6 เดือน จะดีที่สุด

 

  • ดูแลแมวแก่ ต้องพาไปออกกำลังกาย

อย่าปล่อยให้เจ้าเหมียวอายุมากอยู่นิ่งนาน ๆ ทาสแมวควรกระตุ้นให้น้องเล่นเบา ๆ อย่างน้อยวันละ 15 – 30 นาที อาจใช้ของเล่นที่น้องชอบเป็นตัวล่อ เพื่อให้น้องได้ขยับร่างกาย ซึ่งเป็นการออกกำลังกายง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกวัน

 

  • ความสะอาด สิ่งสำคัญของการดูแลแมวแก่

แมวอายุมากมักเลียขนตัวเองลำบาก ทาสแมวจึงต้องดูแลแมวแก่โดยการช่วยแปรงขนให้น้องเป็นประจำ เพื่อกำจัดขนร่วงและขนที่พันกัน จะทำให้แมวมีสุขภาพขนและผิวหนังที่ดีมากขึ้น นอกจากนี้การทำความสะอาดบริเวณใบหน้าก็สำคัญ ส่วนใกล้ดวงตาอาจมีขี้ตาและคราบน้ำตา ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดอย่างเบามือ นอกจากนี้อย่าลืมตัดเล็บให้น้องด้วย เพราะเมื่อแมวแก่ตัวลง เขาจะไม่สามารถจัดการกับเล็บคม ๆ ได้เหมือนตอนยังวัยรุ่นอยู่

  • สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สำหรับดูแลแมวแก่

ทาสแมวจะต้องทำความสะอาดที่อยู่ของเจ้าเหมียวเป็นประจำ เพื่อลดโอกาสการติดปรสิต คอยจัดถาดอาหาร น้ำ และกระบะทรายให้เข้าถึงง่าย และควรเพิ่มให้อยู่ทุกชั้นของบ้านที่แมวชอบไปอยู่ เพื่อลดปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่ายและความเครียด นอกจากนี้ อย่าลืมเปลี่ยนและทำความสะอาดถาดอาหาร น้ำ และกระบะทรายเป็นประจำ เพื่อไม่ให้กลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค

 

  • ดูแลแมวแก่ เรื่องอาหารสำคัญมาก

แมวแก่มักเบื่ออาหารง่ายทำให้น้ำหนักลด และอาจเกิดภาวะขาดสารอาหารได้ เพื่อลดการเกิดปัญหาดังกล่าว ทาสแมวจึงจำเป็นต้องให้อาหารแมวการออกแบบทั้งกลิ่น รสชาติ มีให้เลือกเยอะ ไม่จำเจ เพื่อแก้ปัญหาแมวเบื่ออาหารโดยเฉพาะ พร้อมกันกับมีสารอาหารจำเป็นครบถ้วน ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ตัวอาหารต้องไม่แข็งหรือใหญ่จนเคี้ยวยาก เพื่อให้แมวกินอาหารได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การเลือกอาหารที่ดีจะช่วยให้สุขภาพโดยรวมของแมวดีขึ้นตามไปด้วย เพราะสุขภาพและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ดี ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่แมวกินเข้าไป 

 

สุดท้าย อาหารก็เป็นหนึ่งสิ่งสำคัญในการดูแลแมวแก่ให้มีสุขภาพที่แข็งแรง เลือกอาหารแมวคุณภาพดี อย่าง Buzz Balance Nutrition อาหารแมวเพื่อแมวทุกสายพันธ์ุ ไม่แต่งสี โซเดียมต่ำ ไม่ใส่สารกันบูด อุดมไปด้วยสารอาหารจำเป็น มีให้เลือกหลากหลายรส ช่วยลดปัญหาเบื่ออาหารได้อย่างแน่นอน การดูแลแมวแก่ เป็นเรื่องความรับผิดชอบของผู้เป็นเจ้าของ เราต้องดูแลให้น้องมีความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ทอดทิ้ง อยู่กับเขาไปจนถึงวาระสุดท้าย ถึงแม้ว่าเจ้าเหมียวอาจไม่ได้น่ารัก หรือขี้เล่นเหมือนก่อน แต่เขาก็ยังคงเป็นเจ้าแมวเหมียวลูกรักตัวเดิมของคุณไม่เปลี่ยนแปลง  

 

เคล็บลับเลี้ยง แมวขนยาว ให้ขนสวย

เลี้ยงแมวขนยาว ให้ขนสวยไม่ใช่เรื่องยาก ใครเป็นทาสแมวมือใหม่ เรามีเคล็ดไม่ลับจะมาบอก เพื่อให้เจ้าเหมียวของคุณ มีขนสวย สุขภาพดี น่ากอด

เลี้ยงแมวขนยาว สิ่งสำคัญที่ต้องดูแลเป็นพิเศษก็คือ ขน หากขนยาวนุ่มฟู แต่ขาดการดูแลก็ย่อมทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น ขนพันกันเป็นก้อน ปัญหาขนร่วง โรคผิวหนัง เป็นต้น ด้วยเหตุเหล่านี้ทาสแมวจึงต้องใส่ใจดูแลอย่างสม่ำเสมอ โดยมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ถึงเป็นทาสแมวมือใหม่ก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน

แมวขนยาว

เลี้ยงแมวขนยาว ต้องดูแลขนอย่างไร

1.เลี้ยงแมวขนยาว ต้องเลือกผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ให้เหมาะสม

  • เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงขนที่ได้มาตรฐาน รับรองความปลอดภัย เพื่อลดโอกาสที่จะทำให้เกิดอาการแพ้ แต่ทั้งนี้หากไม่มั่นใจ ก็สามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้
  • หวีแปรงขนแมว สิ่งสำคัญในการเลี้ยงแมวขนยาว หวีแปรงจะมีให้เลือกหลัก ๆ 2 แบบ คือ แปรงหมุด ซี่หวีจะค่อนข้างห่าง เน้นช่วยเรื่องกำจัดขนที่ร่วงออกจากลำตัว และแปรงขนลวด ซี่จะถี่ มีหน้าที่ช่วยสางขนที่พันกันให้หลุดออก

2.อาบน้ำและแปรงขน สิ่งที่ห้ามลืม

  • การอาบน้ำแมวเพื่อกำจัดสิ่งสกปรก สามารถช่วยกำจัดเห็บหมัดได้อีกทาง แต่อย่าอาบบ่อยเกินไป เพราะมันจะกลายเป็นการทำร้ายผิวหนังและขนของแมวแทน โดยเราแนะนำให้อาบ 1 – 2 ครั้ง / เดือน
  • อย่าลืมทำความสะอาดใบหน้า รอบดวงตาที่อาจมีคราบน้ำตาและขี้ตา แนะนำให้ใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชู่ชุบน้ำสะอาดเช็ดอย่างเบามือ 
  • ถ้าขนแมวยาวเกินไป ควรพาไปตัดแต่งขนให้เรียบร้อย 
  • เลี้ยงแมวขนยาว จะต้องแปรงขนให้น้องอย่างน้อยวันละ 15 นาที เพื่อกำจัดขนที่พันกันและขนร่วงให้หลุดออก อีกทั้งยังช่วยเช็กเห็บหมัดที่อาจซ่อนอยู่ได้ด้วย โดยเริ่มแปรงขนจากขนใต้ท้อง ลำตัว ต้นคอ หลังใบหู หน้าอก หางและก้นตามลำดับ 

3.เลี้ยงแมวขนยาว ต้องเลือกอาหารดี ๆ 

ทาสแมวจะต้องเลือกอาหารแมวที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายและเส้นขน อีกทั้งต้องมีกากใยอาหารสูง เพื่อช่วยขับก้อนขนที่อยู่ในทางเดินอาหาร ไม่ให้เกิดการอุดตัน เจ้าเหมียวก็จะมีสุขภาพขนที่ดีขึ้นพร้อมกับการมีร่างกายที่แข็งแรง ซึ่ง Buzz Advanced Nutrition – Hair & Skin เป็นอาหารแมวสูตรเฉพาะสำหรับบำรุงเส้นขนและผิวหนัง อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 6 จากน้ำมันรำข้าว และกรดไขมันโอเมก้า 3 จากน้ำมันปลาแซลมอน พร้อมเพิ่มคอลลาเจน เพื่อช่วยบำรุงสุขภาพผิวหนังและขนให้เงางาม นี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับเจ้าเหมียวที่คุณรัก

เคล็ดไม่ลับเหล่านี้ จะช่วยให้การเลี้ยงแมวขนยาวไม่ใช่เรื่องยาก และรับรองได้ว่าขนเจ้าเหมียวของคุณจะต้องสุขภาพดี ยาวสวย และนุ่มฟูอย่างแน่นอน

 

 

มือใหม่ อยากเลี้ยงแมว ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

อยากเลี้ยงแมว แต่เป็นมือใหม่ต้องเตรียมอะไรบ้าง? การจะรับสัตว์ซักตัวมาเลี้ยงไว้ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน พันธุ์อะไร การเตรียมตัวทั้งในเรื่องปัจจัย 4, อุปกรณ์ในการเลี้ยงเขาล้วนเป็นสิ่งจำเป็นด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งกับเจ้าแมวเมี้ยวที่ธรรมชาติของเขา นิสัยเฉพาะตัวของเขามีความเป็นตัวเองสูง ต้องได้รับการดูแลใส่ใจจากเจ้าของมากเป็นพิเศษ ดังนั้นใครที่กำลังจะสมัครเข้าชมรมทาสแมวคนจึงจำเป็นจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งกายใจ ทั้งอุปกรณ์ และกำลังทรัพย์ แต่จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง วันนี้ Buzz Pets มีข้อมูล รวมไปถึงเคล็ดลับในการเตรียมตัว เลือกซื้อของมาฝาก 

 

บ้านต้องเป็น safe zone ให้น้องแมว 

เรื่องสำคัญของคนอยากเลี้ยงแมวต้องรู้ ไม่ว่าบ้านของคุณจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน แต่คุณต้องมีพื้นที่ส่วนตัวให้น้องแมวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยคุณต้องทำให้ที่จุดนั้นกลายเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย อยู่แล้วอุ่นใจ มีน้ำดื่ม มีที่นอนที่เป็นส่วนตัวในน้องแมว (ในกรณีรับลูกแมวมาเลี้ยง แนะนำให้ใช้เสื้อผ้าเก่า ๆ ของเราปูลงไปบนที่นอน กลิ่นอ่อน ๆ ของเราจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัย กล้าหลับได้อย่างเต็มตามากขึ้น) หากต้องการให้แมวสุขภาพดี แข็งแรง ไม่ต้องกังวลเรื่องจะติดโรคจากที่ไหน ไม่หนีหาย อยู่ในสายตาเราตลอดเวลาแนะนำให้เลี้ยงแมวแบบระบบปิดตั้งแต่เริ่มนำน้องเข้ามาในบ้าน สถานที่เลี้ยงจึงควรปิด ไม่ที่ช่อง หรือเปิดโล่งให้น้องแมวออกไปหนีเที่ยวได้ 

นอกจากนี้ ขั้นตอนการย้ายน้องเข้ามาในบ้าน คุณควรเตรียมตะกร้าใส่น้องแมวให้เรียบร้อย ด้วยธรรมชาติของลูกแมวจะขี้กลัว ขี้ตกใจเป็นปกติ ดังนั้นตะกร้า – กระเป๋าที่ใช้ขนย้ายน้องทั้งตอนนำเข้าบ้าน พาไปหาสัตว์แพทย์ หรือพาไปสถานที่ใหม่ ๆ จึงควรมิดชิด ระบายอากาศ และกว้างพอที่จะให้แมวยืน หมุนตัวได้ แนะนำให้ซื้อเผื่อน้องโตไปเลย ไม่ควรเปลี่ยนปล่อย ๆ เพราะการใช้ตะกร้าเดิมจะทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัยมากกว่า 

อยากเลี้ยงแมว

 

อุปกรณ์ขาดไม่ได้ สำหรับเจ้าเหมียว 

นิสัยการขับถ่ายของแมว ธรรมชาติบางอย่างของเขาเป็นสิ่งที่มือใหม่อยากเลี้ยงแมวจำเป็นต้องรู้ ต้องซัพพอร์ตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เริ่มจาก 

ห้องน้ำน้องแมว : สิ่งสำคัญที่คนอยากเลี้ยงแมวต้องทำความเข้าใจ คือสัตว์ประเภทนี้รักสะอาดมาก จะถ่ายหนักถ่ายเบาเฉพาะที่เดิม ๆ เท่านั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าทาสที่จะต้องเตรียมกระบะทรายไว้ในที่ที่เงียบ สงบเอาไว้ให้น้อง เปรียบเสมือนห้องน้ำในการขับถ่าย กระบะทรายควรมีความลึกพอสมควรเผื่อไว้ให้น้องแมวขุด กระตุยทรายเพื่อกลบของเสียของตัวเอง ควรเลือกใช้ทรายแมวให้มีคุณภาพสูงเข้าไว้ เปลี่ยนบ่อย ๆ จะสามารถกลบกลิ่นอึ กลิ่นฉี่แรง ๆ ของเจ้าเหมียวได้ บ้านสะอาด ไร้กลิ่นกวนใจ ถูกสุขลักษณะแน่นอน 

เสาข่วนเล็บแมว ของเล่นเตรียมให้พร้อม : เลือดนักล่าของเจ้าแมวตัวแสบเป็นสัญชาติญาณที่ทาสแมวมือใหม่ต้องรู้ (และเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี) แมวมักจะต้องลับเล็บเพื่อให้คมเอาไว้ป้องกันตัว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยลอกแผ่นเล็บที่ตายแล้ว อีกทั้งยังเป็นการแสดงอาณาเขตผ่านการปล่อยกลิ่นระหว่างข่วนอีกด้วย ดังนั้นถ้าไม่อยากให้บ้านพัง เฟอร์นิเจอร์เละคามือเจ้าตัวแสบ ควรหาเสา – อุปกรณ์สำหรับลับเล็บแมวให้พร้อมช่วยได้แน่นอน แต่ไม่จบแค่นี้ สัญชาติญาณนักล่าของแมวยังมีผลมาถึงการเล่นของเขา โดยเฉพาะลูกแมวที่อาจจะยังยั้งแรงไม่เป็น เปิด/ปิดเล็บตัวเองไม่เป็นจนอาจจะทำให้เจ้าทาสทั้งหลายบาดเจ็บได้ การใช้ของเล่นให้น้องได้ตบ ได้งับแทนมือของเราจะช่วยลดการบาดเจ็บนี้ลงได้ แถมยังกระตุ้นแมวให้ได้ออกกำลังกายผ่านการเล่นสนุกกับคุณอีกด้วย 

อุปกรณ์ทำความสะอาด : มือใหม่อยากเลี้ยงแมวอาจจะยังไม่รู้ฤทธิ์เวลาเจ้าเหมียวโดนจับอาบน้ำ ถึงแม้ว่าแมวจะทำความสะอาดตัวเองเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีผลถึงขนาดสามารถกำจัดกลิ่น ฝุ่น ความสะอาดได้อย่างทั่วถึง หากคุณคิดที่จะอาบน้ำให้เขาเป็นประจำ หลังจากน้องอายุครบ 2 เดือน ควรฝึกให้เขาชินกับการอาบน้ำตั้งแต่เด็ก อุปกรณ์สำหรับอาบน้ำ ทำความสะอาดแมวจะมีดังนี้ 

  • อ่างอาบน้ำ / กะละมังสำหรับแมว 
  • แชมพูสำหรับอาบน้ำแมว 
  • ถุงอาบน้ำแมว / เสื้อผ้าเก่า ๆ เพื่อป้องกันน้องแมวฝากรอยขีดข่วน 
  • ผ้าเช็ดตัวแมว หลังจากอาบน้ำเสร็จ 
  • ไดร์เป่า หวีแปรง 

ก่อนจะอาบน้ำให้แมวทุกครั้ง อย่าลืมดูความพร้อมของเจ้าตัวก่อน มีอาการป่วยหรือเปล่า พร้อมที่จะอาบน้ำหรือไม่ น้ำที่ใช้เย็นไปร้อนไปหรือไม่ ถ้าหากเจ้าเหมียวดื้อมากรับมือไม่ไหว การส่งต่อให้ร้านอาบน้ำตัดขนสัตว์น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า (จากประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่เขามีมากกว่าเรา) 

อาหาร คือสิ่งที่ส่งผลต่อสุขภาพปัจจุบันและอนาคต 

อาหารที่น้องแมวกินอยู่ทุกวันนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่จะสามารถทำให้น้องมีสุขภาพร่างกายที่ดีได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทั้งในแง่ของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ความแข็งแรง ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย อารมณ์ สุขภาพขนผิวหนัง ดังนั้นการเลือกอาหารแมวคุณภาพสูง ผ่านการคัดเลือกวัตถุดิบอย่างดีแบบ Human Grade มีการคำนวณคุณค่าทางโภชนาการอย่างแม่นยำและเหมาะสมกับแมวมากที่สุดตั้งแต่เริ่มต้นเลี้ยง จะเป็นการปูพื้นฐานสุขภาพแมวเหมียวให้แข็งแรง ร่าเริง โอกาสเจ็บป่วยน้อยมากหากเทียบกับน้องแมวที่ไม่ได้ดูแลเรื่องอาหาร เพราะร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์มาตลอด 

 

เพื่อให้น้องแมวที่กำลังจะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านแบบเต็มตัว มีสุขภาพแข็งแรง เล่นสนุกได้สมวัย แนะนำอาหารแมวพรีเมียมจาก Buzz Pets มีหลายสูตรให้เลือกตามความเหมาะสมกับแมวแต่ละแบบ คิดค้นพิเศษสำหรับความต้องการด้านสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง ตั้งแต่สูตรปกติ สูตรน้องแมวที่มีน้ำหนักน้อยเกินมาตรฐาน สูตรเน้นการบำรุงเส้นขนผิวหนังโดยเฉพาะ สูตรสำหรับแมวที่เลี้ยงในบ้าน ลดความเสี่ยงการสะสมของเส้นขน รวมไปถึงสูตรสำหรับลูกแมวและแม่แมวที่กำลังตั้งครรภ์ ผลิตภัณฑ์ไม่มีการแต่งกลิ่น แต่งสี ผลิตโดยกรรมวิธีที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงอย่างแน่นอน 

การเลี้ยงลูกแมว สำหรับทาสแมวมือใหม่ต้องใส่ใจอะไรบ้าง

การเลี้ยงลูกแมว สำหรับทาสแมวมือใหม่แล้วนั้นต้องเตรียมข้อมูลและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเลี้ยงลูกแมว เพราะการเลี้ยงลูกแมวไม่ใช่เพียงแค่การเอาน้องแมวเหมียวมาอยู่กับเราเท่านั้น แต่เรายังต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ก่อนเลี้ยงตลอดจนเมื่อรับน้องมาอยู่ด้วย แล้วแบบนี้จะมีอะไรที่เราต้องใส่ใจบ้าง เริ่มจากอะไรดี มาหาคำตอบไปพร้อมกันเลยค่ะ

 

การเลือกน้องแมว

  • เลือกพันธ์ุไหนดี ?

แมวสายพันธุ์แท้อาจมีราคาแรงตั้งแต่หลักหมื่นขึ้นไป หากไหวก็ลุยเลย! ทั้งนี้สิ่งสำคัญคืออย่าลืมเอกสารสำคัญที่บ่งชี้ว่าแมวของคุณเป็นแมวสายพันธุ์แท้ที่มีสุขภาพดี หรือจะลองรับลูกแมวจากสถานสงเคราะห์สัตว์ต่าง ๆ มาเลี้ยงก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายถ้าเรามีใจรักมากพอ ถือเป็นการช่วยให้ลูกแมวเหมียวได้มีบ้านใหม่ที่อบอุ่นและรายล้อมไปด้วยความรักค่ะ

  • ขนยาวหรือขนสั้น ?

ขนยาว : เหมาะกับผู้ที่มีเวลาดูแลน้องแมว เพราะต้องได้รับการดูแลขนทุกวันเพื่อให้ขนดูดีและไม่พันกันยุ่งเหยิง

ขนสั้น : เหมาะกับทาสแมวมือใหม่ เพราะไม่ต้องดูแลมากเท่าพันธุ์ขนยาว เพราะเจ้าแมวน้อยสามารถดูแลและทำความสะอาดขนเองได้ง่ายกว่า

  • ตัวผู้หรือตัวเมีย ?

ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนค่ะ แต่ถ้าต้องการเลี้ยงน้องแมวสองตัวไม่ว่าจะเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม ก็ควรพาไปทำหมันก่อนที่จะเจริญพันธุ์นะคะเพราะการทำหมันจะส่งผลให้น้องแมวของเรามีนิสัยคล้ายกันมากขึ้นค่ะ ทำให้เลี้ยงเขาง่ายขึ้นเยอะเลยละค่ะ

 

ทั้งนี้ควรเลือกซื้อลูกแมวจากฟาร์มที่มีประวัติน่าเชื่อถือหรือมีใบรับรอง น่าไว้ใจค่ะ หรือจะไปเลือกดูลูกแมวที่ฟาร์มเลยก็ได้ เพื่อที่จะได้ดูการจัดการ การดูแลเอาใจใส่รวมถึงความสะอาดภายในฟาร์ม เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจซื้อลูกแมวได้ง่ายขึ้นค่ะ

การเลี้ยงน้องแมว

ก่อนจะพาน้องแมวเข้าบ้าน ต้องทำอะไรบ้าง

  • เลือกห้องให้น้องอยู่

ควรจะจัดสรรพื้นที่ให้ชัดเจน และห้องนั้นควรมีประตูหรือมีอะไรมากั้นไม่ให้ลูกแมวออกไปเที่ยวข้างนอก ควรเลือกห้องที่น้องแมวสามารถปีนป่ายหรือขึ้นที่สูงได้ง่ายเพื่อเป็นการฝึกความแข็งแรงไปในตัวและคุ้นเคยกับบ้านใหม่ได้ไวขึ้น

  • ชามอาหารและน้ำ

วางชามอาหารและน้ำไว้ให้ห่างจากกระบะทรายให้มากที่สุด เลือกใช้ชามก้นตื้นป้องกันปัญหาหนวดติดขอบชาม

  • กระบะทราย

ลูกแมวก็เหมือนเรานี่แหละค่ะ เวลาใช้ห้องน้ำก็ต้องการความสงบ จึงควรวางกระบะทรายไว้ที่บริเวณมุมห้องตรงข้ามประตู ที่สำคัญอย่าลืมเตรียมถาดรองและที่โกยไว้ด้วยนะคะ

  • การปรับตัวของลูกแมว

เมื่อรับน้องเข้ามาอยู่บ้านใหม่ ๆ น้องแมวของเราก็จะกลายเป็นนักสำรวจทันทีแต่ก็จะขี้อายไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นช่วงแรกจะต้องเงียบกันสักเล็กน้อย และควรรอให้ลูกแมวเหมียวกล้าเข้ามาหาเราเอง มากกว่าที่เราจะเอาแต่เดินเข้าไปหาอยู่เสมอ เมื่อผ่านไปสักระค่อยพยายามทำให้ลูกแมวเหมียวคุ้นเคยกับการถูกอุ้มขึ้นมา

การเลี้ยงลูกแมว

 

การดูแลสุขภาพน้องแมว

  • การทำความสะอาดลูกแมว

สำหรับลูกแมวที่ยังเป็นเด็กน้อยอยู่ยังไม่ควรอาบน้ำ แต่ให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวให้กับลูกแมวอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ส่วนการเริ่มอาบน้ำให้ลูกแมวนั้นควรเริ่มอาบได้ตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป เอาไดร์เป่าผมอุ่น ๆ เป่าขนให้แห้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ขนชื้น หรือเป็นเชื้อราได้ค่ะ และควรฝึกตัดเล็บ เช็ดหู ไว้ด้วยจะได้ไม่ดื้อเมื่อเริ่มโตขึ้น

  • การเปลี่ยนอาหารให้ลูกแมว

ลูกแมวจะเริ่มหย่านมในช่วง 6 – 8 สัปดาห์ ในช่วงนี้ควรให้อาหารแบบเม็ดหรืออาหารเปียกสำหรับลูกแมว ในหนึ่งวันควรให้อาหาร 3-4 มื้อ และควรหมั่นเปลี่ยนน้ำให้สะอาดไว้ตลอดเวลา

  • ฝึกการขับถ่าย

หากเป็นลูกแมวที่อยู่ในช่วงป้อนนม ควรใช้สำลีชุบกับน้ำอุ่นเช็ดไปที่ก้น โดยลูกแมวจะเริ่มมีการเกร็งตัวสักพักจะเริ่มขับถ่ายออกมา และเมื่อลูกแมวเริ่มเดินได้ ควรหากระบะทรายมาวางไว้ เพื่อฝึกให้ลูกแมวขับถ่ายให้เป็นที่ตั้งแต่เด็ก ๆ

  • การฉีดวัคซีน

เมื่อลูกแมวอายุครบ 6 สัปดาห์ ควรพาไปตรวจสุขภาพและเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกเมื่ออายุครบ 2 เดือน ทั้งนี้ควรฉีดวัคซีนตามโปรแกรมที่สัตวแพทย์แนะนำเพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกแมวของเรา

 

การเลี้ยงลูกแมวในช่วงแรกอาจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างมาก ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือความรับผิดชอบและความเอาใจใส่ของเราที่ต้องมีเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ลูกแมวที่เราเลี้ยงนั้นได้รับความรักและการดูแลอย่างอบอุ่น และเติบโตเป็นแมวที่แข็งแรง สุขภาพดีค่ะ สำหรับบทความหน้าจะมีอะไรมาแนะนำอีก ต้องอย่าลืมติดตามกันนะคะ

แมวเบื่ออาหาร จะทำอย่างไรดี

แมวเบื่ออาหาร ปัญหาที่ทาสแมวหลาย ๆ คนต้องพบเจอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะปัญหานี้แก้ไขได้

 

แมวเบื่ออาหาร ปัญหานี้เกิดจากอะไร ?

เมื่อน้องเหมียวที่บ้านเปลี่ยนไป จากเคยกินจุ กลับกินน้อยลง และ เซื่องซึมเหงาหงอย นี่อาจบ่งชี้ได้ว่า กำลังเกิดปัญหาแมวเบื่ออาหาร ซึ่งทาสแมวอย่างเราก็คงอยู่เฉยไม่ได้  เพราะปัญหานี้อาจเป็นหนึ่งในอาการที่แมวแสดงออก ในขณะที่น้องกำลังเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่กว่าก็ได้ เช่น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาสภาพแวดล้อม เป็นต้น

  • แมวเบื่ออาหารเพราะปัญหาสุขภาพ
  • ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่าย ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหาร ระบบสมอง หรือเป็นโรคผิวหนัง
  • ความเจ็บปวดจากบาดแผลในร่างกาย แผลในปาก เจ็บฟัน มีเศษก้างหรืออาหารติดคอ หรือเจ็บบาดแผลหลังผ่าตัด ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แมวกินอาหารน้อยลง
  • สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้แมวเบื่ออาหาร

แมวมีนิสัยติดที่ ดังนั้นการย้ายที่อยู่ เปลี่ยนตำแหน่งวางจานอาหาร มีแมวตัวอื่นหรือคนแปลกหน้ามาอยู่ร่วมกันในบ้าน จึงส่งผลให้แมวเครียด เซื่องซึมและเบื่ออาหารได้

  • แมวเบื่ออาหาร เพราะติดสัด

ในช่วงนี้ แมวจะหมกมุ่นในการหาคู่ครอง สนใจเพศตรงข้ามมากกว่าอาหาร จึงไม่แปลกที่แมวในช่วงติดสัดจะอยากอาหารน้อยลง

  • อาหารไม่อร่อย และจำเจ ทำให้แมวเบื่ออาหาร

แมวก็เหมือนกับทาสแมวอย่างเรา ที่กินอาหารไม่อร่อยหรือจำเจแบบเดิมทุก ๆ วัน ก็คงไม่อยากกิน

แมวเบื่ออาหาร

แมวเบื่ออาหาร จะแก้ไขอย่างไรดี ?

หากทาสแมวเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้องเหมียว อย่าปล่อยปัญหาแมวเบื่ออาหารไว้ เพราะมันอาจบานปลายกลายเป็นปัญหาใหญ่เลยก็ได้ ทาสแมวจึงต้องหาวิธีแก้ไขโดยเร็ว ซึ่งเรามีวิธีดี ๆ ที่จะช่วยให้น้องเหมียวหายเบื่ออาหาร และกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม

  • หากสังเกตได้ว่า การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่แมวเคยอยู่ หรือเพิ่มจำนวนสมาชิกภายในบ้านนั้น ส่งผลกระทบต่อน้องเหมียว เพราะฉะนั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดปัญหาแมวเบื่ออาหาร ทาสแมวจะต้องค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ในช่วงแรก ๆ อาจต้องจัดที่อยู่ หรือตำแหน่งจานอาหารให้เหมือนเดิมมากที่สุด

ส่วนในกรณี มีสมาชิกใหม่มาอยู่เพิ่ม ทาสแมวอาจต้องแยกพื้นที่สัตว์เลี้ยงแต่ละตัวให้ชัดเจนไปเลย จะช่วยให้แมวเครียดน้อยลง ลดการเผชิญหน้า ลดการทะเลาะกันได้ด้วย

  • พาน้องเหมียวไปพบสัตวแพทย์ เพื่อตรวจเช็กร่างกาย ในกรณีที่แมวเบื่ออาหารมากกว่า 3 วัน เพราะน้องอาจมีปัญหาสุขภาพ เป็นเหตุให้กินอาหารน้อยลงก็ได้
  • ลองเปลี่ยนอาหาร ทั้งยี่ห้อ และ ชนิดอาหาร อาจเพิ่มความหอมกรุ่นของกลิ่น คุณอาจจะอุ่นอุ่นอาหาร – แช่อาหารเม็ดให้พองขึ้น จะทำให้อาหารเคี้ยวง่ายและหอมมากขึ้น หรือที่นิยมทำกันมากคือการราดด้วยอาหารเปียก เพิ่มรสชาติให้ชวนน่ากินมากยิ่งขึ้น 
  • จัดมื้ออาหารน้องเหมียวให้ดี แมวควรได้รับอาหาร 2 มื้อ / วัน โดยแต่ละมื้อควรห่างกัน 8 – 12 ชั่วโมง ถ้าทาสแมวให้มากกว่านี้ก็ไม่แปลกที่แมวจะกินอาหารน้อยลง เพราะน้องคงจะอิ่มอยู่

 

จะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนอาหาร เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาแมวเบื่ออาหารได้ แต่ทาสแมวก็ต้องเลือกอาหารแมวที่มีคุณภาพด้วย เพราะอาหารเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพและการเจริญเติบโต เราจึงต้องคัดสรรอาหารแมวที่ดีให้น้องเหมียวที่เรารัก อย่างอาหารแมว Buzz Balance Nutrition ที่อุดมด้วยสารอาหารจำเป็นครบถ้วน ไม่เเต่งสี โซเดียมต่ำ ไม่ใส่สารกันบูด อีกทั้ง มีให้เลือกหลากหลายรส ช่วยลดปัญหาแมวเบื่ออาหารได้อย่างแน่นอน

 

แมวดุ ก้าวร้าว เจ้าทาสจะแก้อย่างไรดี

แมวดุ ก้าวร้าว ชอบทำลายข้าวของ นับเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่เจ้าทาสแมวทั้งหลายต่างหนักใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะนอกจากเราจะไม่สามารถเดาอารมณ์น้องแมวได้ อยากกอดอยากหอมก็ไม่รู้ว่าจะโดนฝากรอยตบ รอยข่วนเอาตอนไหน ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่มาจากค่ารักษาพยาบาล (ของตัวเอง) ค่าข้าวของที่น้องแมวแสดงพฤติกรรมทำลายข้าวของออกมาอีก จากที่จะเลี้ยงน้องไว้เป็นเพื่อนเล่น เพื่อความสบายใจอาจจะกลายเป็นหนักใจแทน 

การที่แมวดุ แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวกับเจ้าของ หรือกับสัตว์ด้วยกัน มีพฤติกรรมชอบทำลายข้าวของต่างมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป ซึ่งทุกอย่างมีวิธีแก้ไข คุณสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของน้องได้ เพื่อทำให้แมวตัวโปรดของคุณกลับมาเป็นเจ้าตัวขี้อ้อนนิสัยน่ารักได้เหมือนเดิม 

 

เรียนรู้สาเหตุ อะไรที่ทำให้น้องแมวดุ 

การที่น้องแมวแสดงพฤติกรรมไม่น่ารักออกมา แน่นอนว่าต้องมีสาเหตุ ซึ่งสาเหตุของแมวแต่ละตัวขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ลักษณะนิสัย และเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน จึงทำให้การแสดงออกมีความแตกต่างกันออกไป ดังนั้นก่อนที่คุณจะแก้ปัญหาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเจ้าแมวตัวแสบของคุณได้นั้น จำเป็นจะต้องทราบถึงสาเหตุของอาการดุร้ายก้าวร้าวในครั้งนี้ก่อน ที่พบเจอได้บ่อยมีดังนี้ 

แมวดุก้าวร้าว เพราะปัญหาสุขภาพ : บางทีการที่น้องแมวดุ อาจจะเป็นผลมาจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายจนทำให้รู้สึกไม่สบายตัว หงุดหงิดจนแสดงออกมาในรูปแบบของความรุนแรง 

แมวดุ

สภาพแวดล้อมกลายเป็นส่วนสำคัญ : การเลี้ยงแมวจำเป็นต้องมีพื้นที่ที่เป็นของเขา มีโซนขับถ่าย กระบะทรายสะอาด เปลี่ยนทรายใหม่อยู่เสมอ มีอุปกรณ์สำหรับฝนเล็บเพื่อลดการฝนเล็บกับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านแทน ดังนั้นหากน้องแมวดุ หรือแสดงอาการก้าวร้าว ทำลายข้าวของออกมา ให้มาดูความพร้อมตรงนี้ก่อนว่าสภาพแวดล้อมที่คุณเตรียมไว้สะอาดดีหรือไม่ สามารถซัพพอร์ตธรรมชาติของแมวได้หรือเปล่า นอกจากนี้ความก้าวร้าวที่เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมยังมีเรื่องของการแสดงอาณาเขตเมื่อมีสัตว์ตัวใหม่เข้ามาในบ้านอีกด้วย  

ยั้งแรงไม่เป็น ไม่รู้จักวิธีใช้กรงเล็บ : เจอบ่อยมากโดยเฉพาะกับแมวเด็ก ไม่รู้จักวิธีใช้กรงเล็บ ยั้งแรงไม่เป็น ทำใหเวลาเล่นกับเราในบางครั้งเผลอเปิดเล็บจนทำให้เราบาดเจ็บ หรือเล่นแรงจนดูเหมือนแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมา 

ก้าวร้าวเวลากลัว หรือถูกกระตุ้น : นิสัยใจคอ ความรู้สึกของแมวแต่ละตัวล้วนมีความแตกต่างกัน บางตัวขี้กลัว ขี้รำคาญ หรือรับความรู้สึกได้ไว ซึ่งการที่แมวดุ หรือแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมาเป็นผลมาจากความกลัว หรือได้รับแรงกระตุ้นมากจนเกินไป 

 

แมวดุ

แก้ปัญหาแมวดุ ทำได้อย่างไร? 

เมื่อคุณทราบถึงสาเหตุที่ทำให้น้องแมวดุแล้ว การหาวิธีแก้ปัญหาให้ตรงจุดก็ง่ายมากขึ้น หากน้องแมวของคุณดูท่าแล้วน่าจะก้าวร้าวจากอาการเจ็บป่วย หรือเกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก การพาน้องไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการรักษา ปรับเปลี่ยนพื้นที่ส่วนตัวของน้องแมวให้สะอาด ดูแลกระบะทรายให้ถูกหลักอนามัย มีอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อแมวให้พร้อมในการใช้ชีวิตของเขา ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดค่ะ 

ส่วนสาเหตุที่มาจากลักษณะนิสัยของแมว เราอาจต้องใช้เวลาในการฝึกฝน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับเทคนิคการฝึกฝนของเจ้าของ และตัวเจ้าแมวเหมียวเอง ว่าจะรู้เรื่องเร็ว เปิดรับในสิ่งที่เรากำลังจะบอกได้มากน้อยแค่ไหน 

ให้คุณลองทำำเป็นไม่สนใจ เมื่อน้องแมวของคุณเริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือเริ่มเล่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ หยุดเล่น เดินหนี รอให้น้องแมวอารมณ์เย็นลงก่อน วิธีนี้จะทำให้แมวเรียนรู้ได้ว่าพฤติกรรมที่เขากำลังแสดงอยู่ทำให้เราไม่พอใจ เป็นการดัดนิสัยได้ดีกว่าการตีหรือขึ้นเสียงใส่อย่างแน่นอน ใช้อุปกรณ์ลับเล็บ ของเล่นต่าง ๆ แทนการเล่นกับเราโดยตรงหากน้องแมวเริ่มควบคุมการเปิด – ปิดเล็บไม่ได้ เล่นแรงยั้งตัวเองไม่เป็น หรือหากน้องแมวมีนิสัยขี้กลัวเป็นทุนเดิม คุณอาจจะสร้างสถานที่ที่เป็นเหมือนหลุมหลบภัย เป็น Comfort Zone ให้น้องแมวรู้สึกปลอดภัยเพื่อเซฟเขา หรือให้หากิจกรรม ดึงดูดความสนใจเพื่อให้เขาลืมความกลัว ถือเป็นการลดความดุ ลดความก้าวร้าวได้อีกหนึ่งทาง 

 

ปัญหาแมวดุ แมวก้าวร้าวมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับน้องแมวทุกตัวทั้งนั้น ดังนั้นการดูแลเอาใจใส่ด้วยความรัก ความเข้าใจ พยายามเรียนรู้ลักษณะนิสัยเขาพร้อมกับเลือกฝึกฝนน้องแมวด้วยวิธีที่เหมาะสมถือเป็นทางออกที่จะสามารถปราบพฤติกรรมก้าวร้าว เปลี่ยนแมวดุให้กลายเป็นแมวน้อยขี้อ้อนตัวเดิมได้ นอกจากนี้การดูแลเรื่องของอาหารการกิน ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลสุขภาพน้องแมวโดยตรงทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ ช่วยส่งเสริมให้เขาแข็งแรงสดใส ร่าเริงได้สมวัยได้ในทุกวัน แนะนำอาหารแมวสูตรพรีเมียมจาก Buzz Pet อาหารที่รู้ใจสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณมากที่สุด โดดเด่นทั้งในเรื่องโภชนาการ คุณค่าครบถ้วนด้วยวัตถุดิบที่ดีที่สุด กลิ่น รส ถูกใจน้องแมวเหมียวกินหมดชามแน่นอน 

 

รู้จัก หวัดแมว เพราะแมวก็ป่วยได้

น้องแมวเป็นหวัดหรือที่เรียกว่า หวัดแมว อาจติดต่อกันในหมู่แมวได้ ยิ่งบ้านไหนที่มีน้อง ๆ หลายตัวแล้วละก็ ยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ดังนั้นการรู้ทันโรคหวัดแมวถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทาสแมวจะต้องรู้จักสังเกตเพื่อจะได้ป้องกันและรับมือให้เจ้านายของเหล่าทาสปลอดภัยจากหวัดแมว

 

หวัดแมว (Cat Flu) คืออะไร 

หวัดแมว (Cat Flu) คือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ มีอาการคล้ายเป็นหวัด มักเกิดในที่ ๆ เลี้ยงแมวรวมกันจำนวนมาก ๆ อย่างบ้านใครที่เลี้ยงแมวเยอะ ๆ หรืออยู่ในชุมชนแออัดแล้วน้องแมวชอบแอบหนีไปประชุมลับกันบ่อย ๆ น้องแมวของเราก็ยิ่งมีโอกาสที่จะติดหวัดแมวมาจากแมวตัวอื่น หรือเป็นหวัดแมวได้ง่ายมากขึ้น โดยหวัดแมว เกิดจากเชื้อไวรัสสำคัญหลัก ๆ 2 ชนิดคือไวรัสแคลิซี (Calici virus) และไวรัสเฮอร์ปี (Herpes virus) 

ซึ่งในแมวที่เคยติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปี (Herpes virus) หลังจากหายแล้วจะกลายเป็นพาหะตลอดชีวิต ช่วงไหนที่เจ้านายของเราเครียดมาก ๆ ก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นหวัดแมวซ้ำได้ง่าย ๆ  และถ้าหากแมวติดไวรัสแคลิซี (Calici virus) หลังจากหายหวัดแมวไปแล้ว ก็จะมีการแพร่เชื้อสู่สิ่งแวดล้อมได้อีกราว ๆ 2 อาทิตย์ – 1 เดือน แต่บางครั้งอาจยาวนานถึง 2 – 3 เดือน โดยแมวที่ได้รับเชื้อจะมีอาการอักเสบที่ตา โพรงจมูก หลอดลม หรือภายในช่องปากได้ 

 

วิธีสังเกตเบื้องต้นว่าน้องแมวเป็นหวัดแมวอยู่หรือเปล่า

  1. น้องแมวขยิบตาทั้งวัน อีกทั้งยังมีเปลือกตาบวมแดง มองแล้วดูเหมือนตาจะปิด อีกอาการคือมีขี้ตาเกรอะ เป็นก้อนเห็นได้ชัด
  2. น้องแมวมีกลิ่นปาก ปากเหม็น เหงือกแดงจนผิดสังเกต หรือมีน้ำลายไหลยืดตลอดวัน
  3. ปากและลิ้น มักจะเป็นแผลหลุมที่ปาก ลิ้น เพดาน ริมฝีปากหรืออาจจะลามมาที่ปลายจมูกได้
  4. น้องแมวไอและจามฮัดเช่ย ๆ อยู่บ่อย มีน้ำมูกไหล ทำเสียงฟึดฟัดทั้งวัน
  5. เบื่ออาหาร ไม่อยากกินอะไร
  6. มีอาการซึมผิดปกติ

หวัดแมว

ดูแลยังไงเมื่อน้องแมวเป็นหวัด

  1. แยกตัวที่ป่วยกับตัวอื่น ๆ ในบ้าน เพื่อป้องกันการติดต่อ
  2. ปรับอาหาร เพื่อช่วยให้กินอาหารได้ดีขึ้น
  3. แยกชามน้ำ ชามอาหาร เพราะการกินชามเดียวกันมักจะติดผ่านน้ำลาย หรือแม้แต่ของเล่นที่เจ้าเหมียวใช้ร่วมกัน
  4. เช็ดทำความสะอาดตาและจมูก เพื่อให้แมวหายใจสะดวกและรู้สึกสบายตัว
  5. ฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนตามโปรแกรม (แมวต้องมีอายุตั้งแต่ 2 เดือนเป็นต้นไป)

 

ดังนั้นถ้าอยากให้น้องแมวหรือเจ้านายของเหล่าทาสมีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากหวัดแมวแล้วก็ต้องให้ความสำคัญครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น สภาพแวดล้อม สุขภาพร่างกาย หรือแม้กระทั่งอาหารการกินก็ตาม ดังนั้นควรเลือกอาหารให้ครบถ้วนและสมดุลทางโภชนาการด้วยโซเดียมต่ำและไม่มีสีสังเคราะห์ เพื่อสุขภาพพื้นฐานโดยรวมในระยะยาวของแมว อย่าง Buzz Pets Food แต่ละสูตรประกอบด้วยวิตามินและสารอาหารแบบเฉพาะ เพิ่มประโยชน์ต่อสุขภาพของแมวให้มากที่สุดโดยการใช้ส่วนผสมที่ละเอียดเหมาะกับน้องแมวทุกวัย

 

ขนร่วง หรือ ผลัดขน เหมียวของคุณเป็นอะไรกันแน่?

ขนร่วง อีกหนึ่งปัญหาที่คนเลี้ยงแมวหนีไม่พ้น ซึ่งหลาย ๆ คนมักเข้าใจผิดว่าเป็นธรรมดาของสัตว์มีขนที่ต้องผลัดขน แต่ที่จริงแล้วปัญหาขนร่วงต่างจากการผลัดขนโดยธรรมชาติ และเป็นหนึ่งสิ่งบ่งชี้ว่าแมวของคุณอาจกำลังเผชิญกับปัญหาผิวหนังอยู่ แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่า แมวผลัดขนหรือขนร่วงกันแน่ ?

 

แมว

ขนร่วง หรือ ผลัดขน เจ้าเหมียวเป็นอะไรกันแน่ ?

ผลัดขน เป็นการเปลี่ยนแปลงตามการเจริญเติบโตของเส้นขนโดยธรรมชาติ ที่ต้องผลัดขนเก่าเพื่อระบายความร้อนออกจากผิวหนัง และผลัดเซล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป เพื่อทดแทนด้วยขนเส้นใหม่ ส่วนใหญ่การผลัดขนจะเร่มขึ้นเมื่อหมดฤดูหนาว โดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้จะค่อย ๆ เกิดขึ้น ขนเก่าที่ผลัดออกจะร่วงทั้งตัว โดยไม่ร่วงจนแหว่งเป็นวง แต่ถ้าหากแมวของคุณมีขนร่วงในลักษณะเช่นนี้ นี่อาจจะไม่ใช่การผลัดขนตามปกติ เพราะน้องอาจประสบกับปัญหาผิวหนังบางอย่างอยู่ ซึ่งวิธีสังเกตง่าย ๆ มีดังนี้

  • ขนร่วงไปโดยไม่มีขนใหม่ขึ้นแทนที่ ต่างจากการผลัดขน แม้จะร่วงเยอะ แต่จะมีขนใหม่ขึ้นมาแทนอยู่ตลอด
  • ขนร่วงเป็นหย่อม ๆ หรือเป็นกระจุก จนบางบริเวณไม่เหลือขนเลย ต่างจากการผลัดขนที่จะร่วงทั่วร่างกาย
  • แมวอาจมีความผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น มีอาการคัน ตุ่ม ผื่นแดง แผลถลอกจากการเกา เป็นต้น

แมว

 

ปัญหาขนร่วงนั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ 

  • ขนร่วงจากการติดเชื้อที่ผิวหนัง เช่น เชื้อรา เชื้อยีสต์ เชื้อแบคทีเรีย หมัด ไร พยาธิ เป็นต้น มักจะแสดงอาการผื่นแดง ขนร่วงเป็นหย่อม ๆ หรือผิวหนังส่งกลิ่นเหม็น
  • อาการแพ้ทำให้ขนร่วง อย่างการแพ้อาหาร ผลิตภัณฑ์ที่ทาบนผิวหรือแชมพู หญ้า พื้นที่ที่มีสารเคมีปนเปื้อน เป็นต้น
  • แมวขนร่วงเพราะอายุมาก แมวแก่ขนจะแห้ง ไม่สามารถเลียทำความสะอาดขนตัวเองได้ดี ขนจึงร่วงหลุดเยอะขึ้นกว่าปกติ
  • เครียดจนขนร่วง แมวบางตัวมีภาวะความเครียดหรือความกลัวอย่างรุนแรง ทำให้ขนร่วงมากกว่าปกติ
  • เลียขนมากเกินไปจนขนร่วง แม้จะเป็นวิธีการทำความสะอาดขนของเจ้าเหมียว แต่ถ้าเลียในจุดเดิมซ้ำ ๆ มากจนเกินไป ลิ้นหยาบ ๆ ของแมวจะทำให้ขนบริเวณนั้นร่วงจนหมด และทำให้ขนสุขภาพไม่ดีด้วย
  • ขนร่วงเพราะขาดสารอาหาร ขนและผิวหนังของแมวต้องการโปรตีนจำนวนมากเพื่อการเจริญเติบโต และการฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังต้องการวิตามินเอ และวิตามินอี เพื่อเสริมสร้างสุขภาพขนที่ดี และป้องกันขนร่วง เมื่อไม่ได้รับสารอาหารเหล่านี้ เส้นขนของแมวจะบางลง และหลุดร่วงง่ายกว่าปกติ

 

เห็นแบบนี้ ทาสแมวหลายคนอาจตกใจ ว่าจะทำอย่างไรหากเจ้าเหมียวของคุณมีปัญหาขนร่วง ไม่ต้องตกใจไปเพราะปัญหานี้มีวิธีรักษาและป้องกัน

  • อันดับแรก พาเจ้าเหมียวไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจเช็กให้รู้ชัดเจนกันไปเลยว่า ขนร่วงจากสาเหตุใด จะได้รักษาได้อย่างถูกวิธี 
  • ป้องกันการติดปรสิต ด้วยการควบคุมสภาพแวดล้อมที่แมวอาศัยอยู่ให้ได้มากที่สุด และปรึกษาสัตวแพทย์ เพื่อวางโปรแกรมควบคุมปรสิตอย่างสม่ำเสมอ
  • หมั่นแปรงขน เพื่อกำจัดเศษขนส่วนเกิน และป้องกันขนพันกันในกรณีแมวขนยาว โดยแปรงอย่างช้า ๆ เบามือ ในระยะเวลาสั้น ๆ 
  • เสริมความแข็งแรงให้เส้นขน ด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงขน โดยในกรณีนี้ ควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อเลือกชนิดของผลิตภัณฑ์จะดีที่สุด

 

        และท้ายที่สุด ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาขนร่วงจะลดลง หากแมวได้รับสารอาหารที่เหมาะสม การเลือกอาหารแมวที่มีสารอาหารครบถ้วน ทั้งเรื่องการเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง สุขภาพขนและผิวหนังที่ดี จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ อย่าง Buzz Advanced Nutrition – Hair & Skin สูตรสำหรับบำรุงเส้นขน เเละ ผิวหนัง ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยโปรตีน ไขมันที่เหมาะสม โอเมก้า 3 และ 6 พร้อมเพิ่มคอลลาเจน เพื่อบำรุงผิวหนังและเส้นขน อีกทั้งยังมีเส้นใยเซลลูโลสพลัสช่วยให้ขนผ่านทางเดินอาหารได้ดี จบครบตามที่เจ้าเหมียวต้องการ ตอบโจทย์มาก ๆ สำหรับทาสแมวที่ต้องการดูแลสุขภาพแมวเหมียวที่คุณรัก 

 

สัญญาณเตือนที่บ่งบอกเมื่อ แมว มีพยาธิ

เคยสงสัยไหมว่า แมวมีพยาธิ ได้อย่างไร ? พยาธิเป็นปรสิตที่รบกวนลำไส้ของแมว และก่อให้เกิดอาการผิดปกติมากมาย ซึ่งการติดพยาธิ อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรกเกิด โดยลูกแมวอาจติดพยาธิมาจากแม่ที่มีพยาธิ ผ่านการให้นม แมวบางตัวก็ติดมาจากการสัมผัสกับไข่หรืออุจจาระของแมวที่มีพยาธิ หรือบางตัวมีพยาธิเพราะชอบเที่ยวเล่นนอกบ้าน และกินของสด จำพวกหนู นก จิ้งจก ฯลฯ ซึ่งสัตว์เหล่านี้มักมีไข่และตัวอ่อนของพยาธิอาศัยอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีปรสิตอย่างพยาธิเข้ามาอาศัยอยู่ในท้องเจ้าเหมียวของคุณ โดยทั่วไป พยาธิในแมวจะพบได้อยู่ 3 ประเภท คือ

น้องแมว

แมวมีพยาธิ อะไรบ้าง ?

  1. แมวมีพยาธิตัวตืด 

มีลักษณะคล้ายเม็ดข้าว จะเกาะอยู่ที่ผนังลำไส้ เป็นต้นเหตุให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย รวมทั้งปัญหาที่เกี่ยวกับผิวหนังและขน

      2. แมวมีพยาธิตัวกลม

หน้าตาคล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยว มักติดมาจากนมแม่แมว หรือติดจากการคลุกคลีกับแมวและหนูที่มีพยาธิ เป็นต้นเหตุให้เกิดอาการท้องเสีย และอาเจียน

     3. แมวมีพยาธิปากขอ

พยาธิตัวเล็ก มีปากคล้ายตะขอ เกาะอยู่ตามผนังลำไส้ มักจะติดมาจากนมของแม่แมว เป็นต้นเหตุให้แมวมีภาวะเลือดจาง

น้องแมว

           เมื่อคุณเริ่มสังสัยว่า เจ้าเหมียวของคุณอาจจะมีพยาธิมาอาศัยอยู่ในท้อง สัญญาณที่จะช่วยบ่งบอกได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น มีดังนี้

อาการที่บอกว่า แมวมีพยาธิ 

  • ท้องเสีย และอาจมีเลือดปนมากับอุจจาระ
  • น้ำหนักลด ทั้งที่แมวกินได้เป็นปกติ
  • ผอมแต่พุงโล
  • อาเจียน
  • เซื่องซึม
  • ขนร่วง และหยาบแห้ง
  • ตาแฉะ มีขี้ตาเยอะจนผิดปกติ
  • เหงือกซีด เพราะภาวะเลือดจาง
  • แมวมีพยาธิอาจมีพยาธิติดอยู่บริเวณทวารหนัก และอุจจาระที่ถ่ายออกมา

แมว

                 หากพบว่าเจ้าเหมียวตัวน้อยของคุณมีอาการเหล่านี้ ก็มีความเสี่ยงที่แมวจะมีพยาธิ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ เพื่อตรวจเช็กอาการ และเข้ารับการถ่ายพยาธิเป็นประจำ นอกจากวิธีนี้แล้ว ตัวเจ้าของอย่างเราเองก็ต้องช่วยปกป้องเจ้าเหมียวจากการติดพยาธิด้วยอีกแรง โดยการควบคุมสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย จำกัดบริเวณในกรณีที่แมวของคุณชอบเที่ยวนอกบ้าน พยายามคอยสังเกตอย่าให้น้องกินของสด และจะต้องเลือกอาหารแมวคุณภาพ ที่มีส่วนผสมที่เป็นประโยชน์อย่าง Buzz ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือกตามความต้องการที่แตกต่าง เพื่อให้เจ้าเหมียวปราศจากพยาธิและมาพร้อมสุขภาพที่แข็งแรง 

 

น้องแมว เครียดอยู่หรือเปล่า?

น้องแมวเครียด อยู่หรือเปล่า? บางทีอาการแปลก ๆ ที่แมวแสดงออกมาให้คุณได้เห็นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณหรือนิสัยส่วนตัวของสัตว์เลี้ยง แต่มันคือสัญญาณที่พวกเขากำลังแสดงออกให้คุณทราบว่ากำลังมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ก็ได้ ซึ่งความเครียด อาการวิตกกังวลต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้กับแมว สุนัข หรือสัตว์ตัวอื่น ๆ ได้ทั้งนั้นไม่ต่างจากคนเลย แต่แมวเครียดจะเกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง น้องจะเริ่มมีพฤติกรรมแปลก ๆ แบบใดให้เราได้สังเกต วันนี้ Buzz Pet อาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมมีคำตอบมาฝาก 

น้องแมว

สาเหตุที่ทำให้น้องแมวเครียด 

ขึ้นชื่อว่าความเครียดแล้ว ไม่มีทางที่สิ่งนี้จะส่งผลดีกับใครทั้งนั้นไม่ว่าจะกับคนหรือสัตว์ก็ตาม โอกาสที่จะทำให้แมวเครียดสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หลายสถาานการณ์ขึ้นอยู่กับแมวแต่ละตัว บางตัวเจอเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งมาก็ทำให้เกิดความเครียด แต่อีกตัวนึงเจอเหตุการณ์เดียวกันกลับไม่เป็น จุดนี้มีความคล้ายคลึงกับคน ซึ่งในแต่ละคนมีความอดทน มีภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกัน สาเหตุที่ทำให้แมวเครียดที่พบเจอกันบ่อย ๆ มีดังนี้ 

  • ความซ้ำซากจำเจ ที่อาจทำให้แมวเบื่อจนเกิดความเครียด 
  • กังวลเรื่องอาณาเขต ความปลอดภัยของตัวเองจากแมวตัวอื่น หรือสัตว์ประเภทอื่น 
  • ตกใจกลัวเสียงดัง เช่น เสียงจากฟ้าผ่า เสียงพลุ เสียงปืน เสียงเพลงดัง (ส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับแมวบางตัวเท่านั้น บางตัวก็ไม่ได้กลัว) 
  • ถูกปล่อยให้อยู่ในบ้านเพียงลำพัง ไม่มีคน หรือสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ๆ ที่คุ้นเคยอยู่ด้วย 
  • อยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ต้องย้ายที่ หรือมีการเดินทาง
  • สารอาหาร ปริมาณ และน้ำดื่มไม่เพียงพอต่อร่างกาย และความหิว
  • มีสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ สมาชิกตัวใหม่เข้ามาในบ้าน 

น้องแมว

สังเกตอาการด่วน น้องแมวอาจกำลังเครียดอยู่

หลังจากที่ทราบสาเหตุเบื้องต้นของความเครียดที่เกิดขึ้นกับน้องแมวแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องมาลองสังเกตสัตว์เลี้ยงข้าง ๆ ตัวคุณบ้าง ว่าแมวเหมียวมีพฤติกรรมแปลก ๆ  ที่จะเป็นสัญญาณเตือนให้เราได้ ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ ที่น้องแมวแสดงออกมาจะมีทั้งเรื่องที่เรามองว่าปกติแต่สำหรับเขาไม่ปกติ หรือเป็นพฤติกรรมใหม่ที่น้องแมวไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน รวมรวบที่เจอได้บ่อยมาแล้ว ดังนี้ 

  • เริ่มขับถ่ายไม่เป็นที่ ไม่ใช้กระบะทราย
  • เลียขน ทำความสะอาดขนตัวเองมากผิดปกติ (มีโอกาสที่จะขนหลุดร่วง และเกิดปัญหาผิวหนังอักเสบได้ในภายหลัง)
  • ร้องเสียงดัง หรือเงียบแยกตัวออกจากโลกภายนอกจนผิดสังเกต 
  • แสดงความดุร้ายใส่ทั้งคน และสัตว์ตัวอื่น 
  • เคี้ยวปากจนน้ำลายยืด 
  • เริ่มทำลายข้าวของ เฟอร์นิเจอร์ หมอน เตียง สิ่งใกล้ตัว (ส่วนนี้ขึ้นอยู่กับวัย พันธุ์ ลักษณะนิสัยด้วย)
  • กินอาหารน้อยลง 
  • นอนเยอะมากขึ้น 

หากปล่อยทิ้งไว้ ความเครียดเหล่านี้จะสะสมไปเรื่อย ๆ ส่งผลต่อสุขภาพจิตและอาจจะลามไปถึงระบบร่างกายต่าง ๆ ทำให้น้องแมวมีโอกาสป่วยง่ายมากขึ้น สุขภาพผิวหนังไม่ดี ขนร่วง เป็นภูมิแพ้ หรือร้ายแรงกว่านั้น ความเครียดอาจจะกลายเป็นสาเหตุสำคัญของโรคร้ายที่ตามมาในอนาคตก็ได้ 

หากคุณทราบว่าอะไร สถานการณ์แบบไหนเป็นแรงกระตุ้นที่ส่งผลทำให้น้องแมวเครียดแล้ว การหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำรอย เพิ่มความเครียดสะสมให้กับแมวเหมียวถือเป็นเรื่องที่เจ้าของอย่างเราควรทำมากที่สุด นอกจากนี้ การดูแลอาหารให้ครบถ้วนทั้งปริมาณและตามหลักโภชนาการ พร้อม ๆ กับการให้ความรัก ความเอาใจใส่กับสัตว์เลี้ยงถือเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้เขากลับมามีสุขภาพดี แข็งแรง จิตใจแจ่มใสได้มากกว่าครั้งไหน ๆ

เลี้ยงแมว ระบบปิด หรือระบบเปิด แบบไหนดีกว่ากัน ?

เลี้ยงแมวระบบปิด หรือระบบเปิด คงเป็นสิ่งที่ทาสแมวมือใหม่ลังเลใจกันอยู่ไม่ใช่น้อยเลยใช่ไหมล่ะคะ เพราะเจ้าแมวมีอยู่หลายพันธุ์ด้วยกัน บางพันธุ์ก็ดูแลง่าย บางสายพันธุ์ก็ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ดังนั้นก่อนที่จะทำการเลือกแมวมาเลี้ยงควรทำการศึกษาวิธีการเลี้ยงให้ดีเสียก่อน แล้วจะเลี้ยงแมวระบบปิด หรือระบบเปิดดีนะ มาหาคำตอบไปพร้อมกันเลยค่ะ

น้องแมว

 

การเลี้ยงแมวระบบปิด หรือจะเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ การเลี้ยงแมวในบ้าน โดยไม่ปล่อยแมวให้ออกไปเที่ยวเดินเล่นข้างนอกบ้านเอง แต่แน่นอนว่าทาสแมวหลาย ๆ คนจากที่เคยอยู่บ้านก็เปลี่ยนมาอยู่คอนโดมิเนียมกันมากขึ้น คอนโดมิเนียมหลายแห่งในปัจจุบันจึงอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วทาสแมวจะหาซื้อของเล่นต่าง ๆ มาให้เล่น ให้ออกกำลังกายแทนเนื่องจากไม่สะดวกพาน้องออกไปข้างนอก และคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีพื้นที่ที่ออกแบบเพื่อน้องแมวโดยเฉพาะ นอกจากจะเป็นคอนโดมิเนียมระดับกลางขึ้นไป

ส่วนการเลี้ยงแมวระบบเปิด คือ การเปิดอิสระเสรีให้แมวสามารถเดินออกไปไหนได้ตามสบาย จะเห็นได้จากเจ้าของที่อาศัยอยู่ที่บ้าน ซึ่งมีลักษณะเป็นชุมชน หรือเป็นบ้านโครงการเป็นส่วนใหญ่ ที่เลี้ยงแมวไว้ น้องแมวก็มักจะแอบออกมาเดินเล่นไปมา หรืออยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ พากันซนก็มี 

 

น้องแมว

ผลของการเลือกเลี้ยงแมวระบบปิด 

  1. น้องแมวปลอดภัย ไม่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุหรือการถูกทารุณกรรม
  2. น้องแมวไม่ติดโรค หรือมีความเสี่ยงที่จะป่วยต่ำ เช่น เอดส์ ลิวคีเมีย ไข้หัด 
  3. ไม่ก่อความรำคาญหรือลำบากใจกับเพื่อนบ้านและกลุ่มคนที่ไม่ได้รักแมว
  4. น้องแมวไม่สูญหายหรือไม่กลับมา
  5. น้องแมวอายุยืน เพราะเราสามารถสังเกตความผิดปกติต่าง ๆ ได้ง่ายกว่า

ผลของการเลือกเลี้ยงแมวระบบเปิด

  1. น้องแมวได้ออกกำลังกายเต็มที่
  2. ลดการเกิดโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกิน
  3. น้องแมวมีเพื่อนเล่น ในช่วงเวลาที่เราไม่อยู่
  4. เสี่ยงอุบัติเหตุตกจากที่สูง (กรณีเจ้าของอาศัยอยู่คอนโด)
  5. น้องแมวเสี่ยงเป็นแมวจร เพราะหาทางกลับบ้านไม่เจอ

 

ดังนั้นก่อนที่จะทำการเลี้ยงแมวควรดูด้วยว่าตนเองมีความพร้อมในการเลี้ยงแมวในระบบไหน เพราะการเลี้ยงของทั้งสองระบบนี้จะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ที่สำคัญเลยการที่จะเลี้ยงน้องแมวหรือเลี้ยงสัตว์อื่น ๆ ควรมีเวลาที่จะเล่นและเอาใจใส่ให้มาก เพราะเขาสามารถสัมผัสถึงความรักและความเอาใจใส่ของผู้เลี้ยงได้